Soul
Pairing : Gary x Gilbert
Type : AU fic
Warning : ระวัง งง ค่ะ แค่นี้จริงๆ 55555555
___________________________________________
เรื่องราว…มันเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น
วันที่ผมอายุ 23 ปี
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนั้น ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ก็เป็นเวลา 2 ปีมาได้แล้ว
เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเพียงในชั่วเสี้ยววินาที ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปอย่างมากมายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ครั้งแรกผมกลัว…
ยามหลับตาเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ภาพในอดีตเมื่อตอนผมอายุ 23 ก็มักจะย้อนกลับมา ราวกับจะตอกย้ำความเลวร้ายและความโกลาหลที่เกิดขึ้นในเวลานั้น
ภาพซ้ำๆ ที่ฉายย้อนไปมาราวกับเทปที่ถูกบันทึกไว้ให้ฉายเพียงแค่ช่วงเวลาดังกล่าว
คอยหลอกหลอน แต่ลึกๆ มันไม่ได้น่ากลัว
…ยิ่งพอเกิดขึ้นเกือบทุกวัน มันก็ชินไปเสียแล้ว
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นเพียงความฝัน มันกลับไม่ใช่ความฝัน
……………
“กิลเบิร์ต ไปส่งของให้แม่ทีสิจ๊ะ”
“ครับผม”
ชายผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดขยับพลิ้วไปตามการขยับตัวของเจ้าของร่างที่ชะโงกหน้าตอบรับเสียงที่ไหว้วานเขา ฝ่ามือขาวเนียนในถุงมือที่กำลังนวดแป้งอยู่ชะงักลง ก่อนจะถูกถอดออกแล้วนำไปทิ้งถังขยะ ชายหนุ่มวานให้คนที่อยู่ใกล้กันรับช่วงแป้งที่นวดค้างไว้ และเดินออกจากครัวไป
ดวงตาสองสีกวาดมองของที่ตนต้องนำไปส่งตามหน้าที่ ฝ่ามือสองข้างไพล่หลังแก้เชือกที่มัดผ้ากันเปื้อนไว้ก่อนจะวางพาดไว้กับเก้าอี้ตัวใกล้ๆ กัน
“วันนี้มีสองกล่องเหรอครับ”
“ใช่แล้วล่ะ ของเจ้าเดียวน่ะ ใกล้ๆ นี่ด้วย”
“งั้นผมเอาจักรยานไปดีกว่า”
“ระวังตัวด้วยนะลูก”
กิลเบิร์ตส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์บางๆ รับเอากล่องขนมขนาดกลางสองกล่องมาถือไว้แล้วรุดออกจากร้านไป
ร้านขนมร้านนี้เป็นร้านของกิลเบิร์ตเอง นานๆ ครั้งที่แม่ของเขาจะเข้าร้านมาช่วยจัดการบ้างเป็นครั้งคราว อย่างเช่นวันนี้ที่เธอว่างจากงานประจำจึงเข้ามาช่วยงานที่ร้านตั้งแต่เช้า กิลเบิร์ตที่ปกติจะอยู่หน้าร้านจึงเข้ามาอยู่ในครัวแทน และแย่เสียหน่อยที่วันนี้คนส่งขนมของเขาดันลาป่วย
ดวงตาสองสีกวาดมองแผนที่ที่อยู่ในมือ บ้านที่เขาต้องไปส่งขนมอยู่ห่างจากร้านแค่สองป้ายรถเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นทางที่คุ้นเคยดีสำหรับกิลเบิร์ต ขนมสองกล่องถูกวางไว้ที่ตะกร้าหน้ารถอย่างดีก่อนที่เจ้าของจักรยานจะขึ้นควบและปั่นออกไป
บรรยากาศสบายๆ เหมือนเดิม ที่รถและคนไม่ได้พลุกพล่านมากช่วยให้เจ้าของร้านขนมรู้สึกปลอดโปร่ง สองขายังคงปั่นจักรยานเนิบช้า กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็มาหยุดอยู่ที่แยกไฟแดงก่อนเลี้ยวเข้าซอยเป้าหมาย
และเพราะทุกอย่างเหมือนเดิม แม้แต่ช่วงบ่ายคล้อยแบบนี้ ภาพๆ เดิมที่กิลเบิร์ตมักจะเห็นจึงสะท้อนเข้าสู่สายตา
ภาพดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ที่วิ่งออกมาจากฟุตบาทอีกฝั่งพุ่งตรงเข้ามากลางถนนยังเลนส์อีกเลนอย่างไม่ลังเล
ดวงตาสองสีเบิกขึ้น นัยน์ตามีแวววูบไหวก่อนจะสลดลง ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง กิลเบิร์ตก็ไม่เคยชินชากับภาพๆ นี้เลยแม้แต่น้อย แม้จะผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วก็ตาม
ว่ากันว่าดวงวิญญาณที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด แต่ต้องมาวนเวียนตายแบบเดิมนับไม่ถ้วน ตรงสถานที่เดิมแบบนี้คือคนที่คิดฆ่าตัวตาย ดวงวิญญาณจึงไม่ได้รับการปลดปล่อย
ถึงจะน่าเศร้าที่ดวงวิญญาณของเขาคนนั้นไม่สามารถไปเกิดได้ แม้จะอยากช่วยเหลืออย่างไร แต่กิลเบิร์ตก็ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ได้แต่มองดวงวิญญาณนั้นทำอย่างเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ถ้าหากมีเวลาว่างก็อาจมีแวะไปวัดเพื่อทำบุญให้บ้างก็เท่านั้น
เสียงลมหายใจหนักๆ ทอดถอนออกมาอย่างคนปลงไม่ตก แม้จะสามารถมองเห็นดวงวิญญาณแบบนี้มาได้ตั้งแต่ยังเด็ก วิญญาณรูปแบบต่างๆ ผ่านหูผ่านตามาก็มาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดสนใจอะไร แม้ช่วงแรกๆ จะตกใจไม่น้อยกับสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนี้ แต่พอเห็นเข้าทุกวันๆ ก็มีแต่ต้องทำใจให้ชิน
แต่อดยอมรับไม่ได้ว่ากับดวงวิญญาณที่แยกไฟแดงตรงนั้นมีบางอย่างที่แปลกออกไป
ไม่ได้น่ากลัว ดูอ่อนโยนอย่างแปลกประหลาด ที่สำคัญคือมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ชวนมอง
และที่น่าสงสัยกว่านั้นคือดวงหน้าของคนๆ นั้นดูไม่ใช่คนที่อยากจะฆ่าตัวตายเลยสักนิด
หลังจากส่งขนมเสร็จ กิลเบิร์ตตัดสินใจจูงจักรยานออกมาแทน ตอนนี้เขาหยุดอยู่ที่ริมฟุตบาทที่เดียวกับที่ดวงวิญญาณนั้นเคยพุ่งตัวออกไป ดวงตาต่างสีทอดมองพื้นถนนจุดที่ดวงวิญญาณนั้นหายไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ที่ตรงนั้นคงจะเป็นที่ที่เจ้าของร่างที่พุ่งออกไปจบชีวิตลง
“คุณครับ คุณ”
“เฮ้ย!!!”
แรงสะกิดที่ไหล่เบาๆ พร้อมเสียงเรียก ทำให้กิลเบิร์ตหลุดจากภวังค์หันไปตามต้นเสียง แต่แล้วภาพที่สะท้อนเข้าสู่สายตากลับทำให้หัวใจของกิลเบิร์ตแทบจะหลุดออกจากอก เผลอร้องลั่นออกไปอย่างดังจนคนที่เดินไปมาริมฟุตบาทพากันหันมามองเขาเป็นตาเดียว
ชายหนุ่มเรือนผมสีเงินเมื่อรู้ว่าถูกสายตาหลายคู่จับจ้องก็รีบผงกหัวขอโทษและบอกปัดว่าไม่มีอะไร และเมื่อพยายามทำตัวให้เป็นปกติให้มากที่สุดได้สำเร็จ จึงค่อยๆ หันกลับไปมองยังทิศทางที่เคยมี ‘บางสิ่ง’ เรียกเขาเมื่อครู่
ตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ ด้วยความงุนงง มอง ‘วิญญาณ’ ตรงหน้าไม่วางตา และที่น่ามหัศจรรย์ใจกว่านั้นคือดวงวิญญาณนั้นกำลังจ้องเขากลับเช่นกัน ราวกับต้องการจะพูดสื่อสารอะไร และถ้าจำไม่ผิด เมื่อไม่กี่วินาทีเมื่อครู่ ประโยค “คุณครับ คุณ” เมื่อครู่ ก็คงเป็นเสียงของวิญญาณตนนี้
ฝ่ามือที่ว่างควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหูแบบเนียนๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นและพูดเสียงเบา
“คุณ..รู้ได้ไงว่า…ผมเห็นวิญญาณ” ชายหนุ่มว่าตะกุกตะกัก
“ก็ผมเห็นคุณจ้องผมมา…นานแล้ว”
กิลเบิร์ตลอบกลืนน้ำลายลงคอแบบคนทำอะไรไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปีที่เห็นวิญญาณแล้วเคยได้สื่อสารกันขนาดนี้ ปกติวิญญาณแต่ละดวงไม่ได้มีพลังงานมากพอที่จะมาสื่อสารกับมนุษย์แบบนี้ แถมยังมาสะกิดไหล่ของเขายิกๆ แบบเมื่อกี้อีก มันแปลกเกินไปแล้ว!
ดวงตาต่างสีเหลือบมองดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ที่คล้ายๆ ของตนข้างขวาแวบหนึ่ง ความอ่อนโยนที่แฝงในดวงตาคู่นั้นอดจะทำให้หัวใจของกิลเบิร์ตกระตุกแปลกๆ ไม่ได้ แต่ก่อนที่จะปล่อยให้มีความรู้สึกแปลกๆ ไปมากกว่านี้ กิลเบิร์ตกลับมาตีหน้าจริงจังจ้องมองคน…ไม่ วิญญาณที่ยืนทำหน้าเจียมตัวใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“แล้วคุณเรียกผม..มีอะไรรึเปล่า”
‘เดี๋ยว นี่มันเป็นประโยคที่ควรถามเหรอ?’
ชายหนุ่มเจ้าของร้านขนมครุ่นคิดกับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจจนเผลอกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่นขึ้นอย่างลืมตัว วิญญาณชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ คล้ายว่าจะสังเกตเห็นได้จึงส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วง
“คุณไม่สบายรึเปล่า”
“เปล่าๆๆ ! ผมสบายดีมากๆ !”
เสียงทุ้มเผลอตอบออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวจนคนใกล้เคียงหันมามองเขาอีกครั้ง จักรยานที่ประคองไว้อีกมือจวนจะหลุดออกจากมือเพราะความตกใจ แต่กิลเบิร์ตยังคว้าได้ทันก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้กับคนรอบข้างและทำท่าคุยโทรศัพท์ต่อ
“ถ้าคุณไม่มีอะไรผมจะไปแล้วนะ”
หนุ่มตาสองสีตัดบททันที รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเริ่มไม่มีสติแปลกๆ จะพูดอะไรก็เหมือนติดอยู่ที่ริมฝีปาก สิ่งที่อยากจะพูดกลับไม่ได้พูด แต่ที่พ่นออกมากลับเป็นคำที่ทำให้ตัวเองดูป้ำๆ เป๋อๆ ยังไงก็ไม่รู้
“อา..จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นคุณจ้องผมมาตลอดก็เลยนึกว่ามีอะไรรึเปล่า”
ร่างสูงใหญ่ผมดำยิ้มละมุนออกมา กิลเบิร์ตลอบมองเสี้ยวหน้าอบอุ่นนั้นแล้วกะพริบตาปริบๆ มันก็จริงที่เขามักจะมองมาที่วิญญาณดวงนี้ทุกครั้งเวลาที่ผ่านมาแยกไฟแดงตรงนี้ แต่ทุกครั้งก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมองกลับมา ก็เลยนึกว่าคงเป็นวิญญาณที่วันๆ เอาแต่มาตายที่เดิมๆ ไม่น่าจะสนใจมนุษย์อย่างเขา
“คุณฆ่าตัวตายเหรอ” คำถามที่สงสัยมาตลอดลั่นผ่านริมฝีปาก แต่เหมือนคนถามเองก็ไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะโค้งหัวเหมือนขอโทษ
วิญญาณหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ ยิ่งสร้างความสงสัยให้กิลเบิร์ตเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ได้ฆ่าตัวตาย แล้ววิญญาณจะหลุดออกมาจากร่างเฉยๆ แล้วก็วนเวียนตายตรงนี้ซ้ำๆ เป็นเวลา 2 ปีทำไม คิ้วเรียวขมวดมุ่นแต่ก็ยืนนิ่งรออีกคนกล่าวเพิ่ม
“ผมจำอะไรไม่ค่อยได้ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ตรงนี้ แต่เหมือน…ไม่ได้อยากตาย…มั้งนะ”
คนฟังพยักหน้ารับ พลางพยายามนึกภาพตามให้ออก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ค่อยเข้าใยอยู่ดี “งั้นจำชื่อตัวเองได้ไหม?”
รอยยิ้มอบอุ่นฉายวาบบนใบหน้าอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ทำเอาหัวใจของกิลเบิร์ตกระตุกวูบ ดวงหน้าติดหวานหันเหสายตาไปทางอื่น
“แกรี่”
สิ้นคำตอบ มนุษย์ผู้เห็นวิญญาณพลันต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง เมื่อโทรศัพท์ที่ยกแนบใกล้หูกลับสั่นขึ้นมา ท่าทางตลกๆ รอบที่สามทำให้แกรี่ที่ยืนใกล้ๆ หลุดขำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะได้รับสายตาดุๆ กลับมาจากกิลเบิร์ต แล้วเจ้าตัวก็รีบรับโทรศัพท์
“ฉันต้องกลับแล้ว ไว้..เจอกันใหม่”
‘ห๊ะ? นัดเจอกับผีใหม่เนี่ยน่ะนะ?’
หนุ่มผมเงินตีหน้างงกับตัวเองที่เผลอพูดแบบนั้นออกไป แต่ครั้นพอจะปฏิเสธ กลับได้รับสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูมีความสุขผิดกับวิญญาณที่ต้องทนทรมานกับการไม่ได้เกิด ประโยคปฏิเสธจึงกลืนลงท้องไป สิ่งที่กิลเบิร์ตทำจึงเป็นเพียงการยิ้มตอบบางๆ แล้วจูงจักรยานกลับร้าน
สองอาทิตย์ผ่านไปนับตั้งแต่ที่กิลเบิร์ตเจอวิญญาณที่ชื่อว่าแกรี่
จากที่เคยยืนคุยกันตรงริมฟุตบาทมาสามสี่วันแรก ตอนนี้กิลเบิร์ตได้รู้ว่าจริงๆ แล้วแกรี่สามารถเดินไปไหนมาไหนก็ได้ในอาณาบริเวณนี้ประมาณ 1 กิโลเมตร และที่สำคัญคือไม่ต้องทำท่าว่าตายวนเวียนทุกรอบแบบไม่รู้จบด้วย แต่แค่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เวลาที่คาดว่าน่าจะเป็นเวลาตายจริงๆ ราวกับว่าร่างกายที่ดูโปร่งแสงนั้นถูกบังคับจากที่ใดสักแห่ง ให้ไปหยุดยืนที่ริมฟุตบาท ก่อนจะเป็นภาพที่กิลเบิร์ตคุ้นเคยดี
ไม่รู้ทำไม แม้จะเห็นมาตลอดจนถึงตอนนี้ แต่หัวใจกลับรู้สึกไม่ชิน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าวิญญาณดวงนี้ไม่เหมือนดวงอื่น ไม่ใช่ผีปกติที่ฆ่าตัวตายและต้องมาวนเวียนแบบนี้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าคนๆ นี้ยังมีชีวิตอยู่
ผ่านมาได้สิบนาทีหลังจากภาพบาดตาบาดใจของกิลเบิร์ตถูกฉายให้เห็น ร่างสูงใหญ่ก็กลับมานั่งข้างๆ เขาที่จุดรอป้ายรถเมล์ กิลเบิร์ตยิ้มบางให้วิญญาณข้างกาย ส่วนแกรี่ก็ยิ้มตอบและทำท่าเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แกรี่บอกกับกิลเบิร์ตว่าตัวเองก็ไม่ค่อยรู้ตัวว่าทำไมต้องไปอยู่ตรงนั้น ทุกอย่างมันเหมือนภาพตัด เขามีความทรงจำที่ว่าได้นั่งคุยกับกิลเบิร์ตและมองเห็นนั่นนี่ตามแยกไฟแดง แต่พอถึงเวลาหนึ่งหรือก็คือช่วงที่เขาวนตายตรงนั้นก็จำอะไรไม่ได้ อะไรที่ทำค้างอยู่ก็เหมือนตัดไปทันที ก่อนจะจบที่เขายืนนิ่งเฉยตรงริมฟุตบาท
และกิลเบิร์ตก็ได้รู้อีกว่าพอตกกลางคืน แกรี่ก็ยังสามารถพักผ่อนได้เหมือนมนุษย์อีก แต่ถ้าไม่ได้นอนจริงๆ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย ง่วง เบื่ออะไร เดินวนไปวนมาทั้งวันทั้งคืนก็ยังได้
ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันไป กิลเบิร์ตพยายามถามถึงอดีตของอีกคนที่พอจะจำได้ แต่เหมือนแกรี่จะจำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนนี้การได้มาพูดคุยกับแกรี่เป็นเหมือนเรื่องปกติของกิลเบิร์ตไปเสียแล้ว งานที่ร้านก็ปล่อยให้ลูกจ้างทำกันไป แล้วช่วงบ่ายคล้อยจนตกเย็นกิลเบิร์ตจะเอาตัวเองมาทิ้งตรงแยกไฟแดงนี่เสมอ
อาจเพราะเห็นมาตลอด 2 ปี อาจเพราะได้เริ่มพูดคุยกัน เส้นความผูกพันบางๆ ก่อขึ้นในจิตใจของกิลเบิร์ต รวมถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่คิดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้สัมผัส แต่กลับ…เกิดขึ้นกับวิญญาณที่ไม่ได้ผุดเกิดตนนี้
ตกเย็นจนท้องฟ้าเป็นสีส้มแดง แยกไฟแดงเล็กๆ ตรงนี้พูดคนเริ่มบางตา ฟุตบาทที่เคยคลาคล่ำไปผู้คน ถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถน้อยใหญ่ก็แทบจะไม่มีแล้ว ตอนนี้จุดรอรถเมล์จึงมีเพียงหนึ่งมนุษย์และหนึ่งวิญญาณนั่งอยู่
“นี่กิลเบิร์ต…”
“หืม..อะ!”
สัมผัสร้อนจางๆ ประกบเข้าที่ริมฝีปากของกิลเบิร์ต ดวงตาต่างสีเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ ครั้นจะย้ายใบหน้าหนีกลับถูกเรียวนิ้วแกร่งประคองที่คางไว้ให้รับสัมผัสมากขึ้น จนสุดท้ายกิลเบิร์ตก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกลึกๆ ในใจตนเองได้
…………………………
หลังมื้อค่ำจบลง กิลเบิร์ตรีบพาตัวเองอาบน้ำเข้าห้องนอนแทบจะทันที รู้สึกจิตใจว้าวุ่นไปหมด อาหารที่กินไปเมื่อครู่ก็แทบไม่รู้รส ใครถามอะไรก็แทบไม่เข้าสมอง มันมึนเบลอไปหมด
ก่อนจากกับแกรี่หลังจากที่โดนขโมยจูบแรก เรื่องราวที่ได้รู้จากปากของแกรี่เล่นทำเอาหัวใจของกิลเบิร์ตแกว่งไม่เบา และวันนี้กิลเบิร์ตตั้งใจจะรีบเข้านอนเพื่อทำบางอย่างในสิ่งที่เขาปฏิเสธมันมาตลอด
ความฝันที่มันไม่ใช่เพียงความฝัน
ภาพเหตุการณ์ที่คอยหลอกหลอนหลังจากอุบัติเหตุของตนเองหลังฟื้นขึ้นมา
การย้อนเข้าไปในโลกๆ หนึ่งที่เหตุการณ์ตอนนั้นได้ 8 นาที
ยานอนหลับหนึ่งเม็ดถูกส่งเข้าปาก กิลเบิร์ตคิดว่ารอบนี้เขาจำเป็นต้องใช้ และไม่นาน เมื่อล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ประตูสู่โลก 8 นาทีก็เปิดต้อนรับเขา
ที่โลกนี้มันก็ยังคล้ายๆ โลกปัจจุบันเดิม ตอนที่กิลเบิร์ตเข้ามาได้แรกๆ เขาได้ลองทำนู่นทำนี่ไม่น้อย และพบว่ามันไม่ส่งผลอะไรกับปัจจุบัน แต่มันจะมีผลกับอีกโลกที่หลุดไปไหม…ก็คงจะเป็นอย่างนั้น และถ้ากิลเบิร์ตจำไม่ผิด ทุกครั้งที่หลุดมาที่นี่เขาไม่เคยสักครั้งที่จะยอมมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะตื่นขึ้นมา
ภาพที่รถยนต์คันที่เขาขับ พยายามหักหลบสิ่งที่วิ่งตัดหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทัน เขาชนกับอะไรบางอย่างนั้น และตัวรถที่ยังพุ่งไปชนกับเสาไฟข้างทาง
ตอนนี้กิลเบิร์ตได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาชนเมื่อ 2 ปีก่อน ก็คือร่างของแกรี่ที่วิ่งเข้ามาหมายจะช่วยลูกแมวที่วิ่งมากลางถนน
นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้ผ่านมาได้เกือบ 1 นาทีแล้ว กิลเบิร์ตรีบวิ่งไปยังร้านขนมของตนเอง ก่อนจะเห็นรถยนต์คันเดิมที่จอดสนิทอยู่หน้าร้าน
ต่อให้ในโลกปัจจุบันของเขาจะไม่สามารถช่วยแกรี่ให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อยก็ขอไถ่บาปที่โลกนี้ ให้อีกคนได้มีชีวิตอยู่ต่อ
กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ถูกเขียนแบบลวกๆ ในนั้นมีคำเตือนแบบที่นักดูดวงชอบทำนายกัน กิลเบิร์ตไม่ได้บ้าดวง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นไม่เชื่อเลย ถ้าหากมีใครมาเตือนก็พอฉุกใจคิดบ้าง
‘การเดินทางวันนี้ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ระวังโดยเฉพาะสัตว์สี่ขา’
อย่างน้อยก็ภาวนาว่าตัวเองที่โลกนี้จะเชื่อได้บ้าง หลังจากที่เหน็บกระดาษแผ่นเล็กเข้ากับที่ปัดน้ำฝนหน้ารถ กิลเบิร์ตก็วิ่งกลับไปยังแยกไฟแดงอีกครั้ง ดีที่ว่ามันไม่ไกลกันมาก วิ่งไปวิ่งกลับใช้เวลาเกือบ 5 นาทีเท่านั้น และตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 นาที
ร่างคุ้นเคยในชุดแบบเดิมที่กิลเบิร์ตเห็นอยู่ทุกวี่วันเดินออกมาจากร้านกาแฟ ใบหน้านั้นดูสดชื่นจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย และมันก็ไม่ใช่จริงๆ เจ้าของเส้นผมสีเงินชุ่มเหงื่อยืนหอบอยู่สักพัก ก่อนจะเหลือบไปเห็นรถยนต์ของตนเริ่มใกล้เข้ามา พอหันสายตากลับมาข้างหน้าอีกรอบก็พบกับลูกแมวที่วิ่งออกมาจากข้างทาง
ฝั่งที่รถกิลเบิร์ตขับมาคือไฟเขียว เพราะฉะนั้นเลนฝั่งนี้จึงปลอดรถ
หนุ่มจากอีกโลกนึกขอบคุณที่ตัวเองในโลกฝั่งนี้ยอมเชื่อคำเตือน เพราะเหมือนว่าความเร็วรถจะไม่ได้มากเท่าตอนที่เขาขับในตอนนั้น สองขารีบวิ่งไปตามทาง เมื่อเห็นว่าร่างของแกรี่เริ่มพุ่งออกไปด้านหน้าแบบเดียวที่เขาเห็นในโลกของตัวเอง
ร่างกายของกิลเบิร์ตรีบพุ่งออกไปในทิศทางเดียวกับแกรี่โดยไม่ต้องคิด แกรี่ที่พยายามคว้าลูกแมวเอาไว้ดูเหมือนจะไม่ทันมองรถที่กำลังวิ่งมาของเขาเลยสักนิด
เสียงเหยียบเบรกกะทันหันดังเอี๊ยดลั่นถนน แกรี่ที่เหมือนจะคว้าลูกแมวได้สำเร็จ แต่ขาทั้งสองข้างเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ จนร่างกายถลำไปเบื้องหน้า ดวงหน้ามีแววตกใจไม่น้อย เพราะในอีกไม่กี่เมตรร่างของเขาจะปะทะกับรถยนต์สีดำวาว
แต่แล้วท่อนแขนแกร่งกลับสัมผัสได้ถึงแรงฉุดกระชากจากเบื้องหลัง ร่างกายที่คาดว่าจะถลาไปเบื้องหน้ากลับถูกดึงกลับมาข้างหลังอย่างแรง โดยที่ทับตัวใครอีกคนเอาไว้ด้วยก็ไม่รู้ พร้อมกับที่หูของเขาได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงนาฬิกาเตือน
แต่เมื่อตั้งสติและหันหลังกลับ กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างของใคร ไม่มีเจ้าของสัมผัสอบอุ่นที่มาฉุดกระชากเขาให้หลุดพ้นจากความตายตรงหน้า
“คุณครับ! เป็นอะไรไหมครับ!”
เสียงทุ้มหนึ่งดังขึ้นมาอย่างลนลาน แกรี่หันใบหน้ากลับมามองต้นเสียงก่อนจะสบกับสายตาต่างสีตรงหน้าที่มองเขาอย่างเป็นห่วง ฝ่ามือเนียนพยายามจับต้องสำรวจไปทั่วตัวของแกรี่ ที่น่าแปลกคือสัมผัสอบอุ่นนี้คล้ายกันกับฝ่ามือที่มาช่วยเขาเมื่อครู่ แต่ก่อนจะได้นึกอะไรไปมากกว่านั้น คนผมเงินตรงหน้ารีบคะยั้นคะยอให้เขาตามไปโรงพยาบาลด้วยกัน
จะอะไรก็ตาม…แต่แกรี่นึกขอบคุณไม่น้อยกับสิ่งที่ช่วยเขาไว้ อาจเป็น…ดวงวิญญาณใจดีดวงหนึ่งก็ได้มั้ง
……………………….
สามเดือนผ่านไปนับตั้งแต่ที่กิลเบิร์ตได้เข้าไปในโลกอีกโลก แม้จะยังมีบ้างบางครั้งที่เขายังหลุดเข้าไปในโลกนั้นบ้าง แต่มันไม่ได้ถี่เท่าแต่ก่อนแล้ว จนกิลเบิร์ตแทบจะลืมว่าเคยย้อนเข้าไปได้ ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยสำหรับเขา
และเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วเช่นกันที่เขาไม่เจอวิญญาณของแกรี่ที่แยกไฟแดงแล้ว แม้จะรู้สึกใจหายในช่วงแรก และรู้สึกเป็นห่วง แต่เขาก็ไม่รู้วิธีที่จะได้เจออีกคน(?) บางที…บ่วงฆ่าตัวตายนั้นอาจจะสิ้นสุดแล้วก็ได้ ไม่ต้องมาวนเวียนตายซ้ำตายซาก วิญญาณของแกรี่อาจจะได้ไปเกิดแล้ว
‘จะลาซักหน่อยก็ไม่มี’
กิลเบิร์ตนึกเซ็งๆ กับตัวเองในใจ ในมือที่ประคองหลอดดูดกาแฟอยู่ถูกจ้วงซ้ำเข้าไปในแก้วเพื่อระบายอารมณ์ขุ่นๆ ของตัวเอง เขาเองก็ยังไม่ได้เอาคืนที่แกรี่มาขโมยจูบของตัวเองเลย เพราะพออีกวันที่ไปเจอกัน แกรี่ก็ดันเอาเรื่องนั่นนี่มาเล่าจนเขาลืมเรื่องที่จะมาเอาคืนไปหมด
และก็เป็นแบบนั้นทุกวันจนวันหนึ่งที่แกรี่หายไป
เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังขึ้นเมื่อมีคนเดินเข้ามา กิลเบิร์ตหลุดออกจากห้วงอารมณ์หงุดหงิดของตนเองและเตรียมพร้อมรับลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา
“ยินดีต้อนรั–” เจ้าของร้านนิ่งค้างสนิท เสียงขาดหายเข้าไปในลำคอเมื่อได้เห็นลูกค้าที่เข้ามาในร้านของตน
ร่างสูงใหญ่ที่ดูกำยำ เส้นผมสีดำสนิท ดวงหน้าดูอ่อนโยนไม่มีพิษภัย ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์คู่เรียวคม รอยยิ้มละมุนละไมแบบที่เคยเห็นเมื่อช่วง 2-3 เดือนก่อน
“แกรี่…”
“หืม?”
ลูกค้าของร้านเอียงคอมองหนุ่มผมเงินที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยความสงสัย หูของเขาไม่ได้ฝาดแน่ๆ และตอนนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกคนคงจะเผลอเรียกชื่อเขาออกมา เพราะดวงหน้าที่แดงเรื่อจางๆ พร้อมกับสายตาที่หลุบลงด้วยความอาย
ไม่รู้ทำไม แกรี่รู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านี้ มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกับคนๆ นี้มาก่อนที่จะหลับไป แต่ทำไมกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผูกเกี่ยวอยู่ในใจ จะให้อธิบายออกมาก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร เหมือนมีอะไรบางๆ มาขวางกั้นเขาเอาไว้จนมันดูคลุมเครือ
แต่ความรู้สึกที่ก่อในใจ…จะว่าถูกชะตา? หรือลึกๆ คือผูกพัน? ก็ไม่อาจตอบได้มันชัดเจน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน…แกรี่รู้สึกว่าคนตรงหน้ามีบางอย่างที่ดึงดูดเขาไม่น้อย และเขาจะต้อง…ทำความรู้จักอีกคนให้มากกว่านี้
“อา..ขอโทษครับ คือ เอ่อ จะรับอะไรดีครับ”
คนผมเงินกลับมามีท่าทางปกติ เขาสบมองใบหน้าหล่อละมุนอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะหลุบมองใบเมนูที่อยู่ตรงหน้าแล้วจัดการเคลื่อนมันไปด้านหน้าให้กับลูกค้าตรงหน้า แม้จะยังสงสัยนิดหน่อยว่ามันเป็นไปได้ยังไง แต่ตอนนี้เขาควรทำหน้าที่ไปก่อน อะไรอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
และที่สำคัญ…ถ้าคนตรงหน้าคือแกรี่คนเดิมคนนั้นจริงๆ ลึกๆ ส่วนหนึ่งในใจกิลเบิร์ตรู้สึกว่าเขาจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ แต่ต่อให้ไม่กลับมา เขาก็จะตามหาจนเจอให้ได้ จะต้อง…หาให้เจอให้ได้
หัวใจของตัวเองที่มันหลุดหายไป
“แพนเค้กมีไหมครับ?”
________________________________________________
ลงได้ทันเวลาตี 3 พอดีเลยค่ะ โอ้โหห งานอู้มากกกก ปั่นเอาตอนเกือบไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายยย
อย่างที่บอกไว้ด้านบนนะคะว่าระวังงง ไม่รู้จะงงกันไหม 5555555555 วิสจะมาไขความข้องใจให้ตรงนี้นิดหน่อยแล้วกันค่ะสำหรับใครที่งง
คิดว่าก็เกือบจะหลุดธีม /อ้าว? จริงๆ แล้วพี่รี่ไม่ได้ตายนะคะ เขาอาการโคม่าเหมือนเป็นเจ้าชายนิทรา ทีนี้วิญญาณก็เลยหลุดออกมาและวนเวียนเหตุการณ์รถชนอะไรทำนองนี้ จนเหมือนว่าเขาฆ่าตัวตาย จริงๆ ก็เปล่าค่ะ ส่วนโลกที่กิลกิลเข้าไปช่วยก็ตามสเตปธีมนะคะ ย้อนกลับไปและแฮปปี้เอนด์ไปค่ะ อันนั้นพี่รี่รอดชัวร์ๆ และจะอะไรยังไงกับกิลกิลทางนั้นไหมก็ไม่รู้นะคะ อิอิ ส่วนทางนี้ก็…ศึกษากันต่อไปเนอะ
เอาเป็นว่าถ้าใครมีอะไรสงสัย ก็ถามมาได้นะคะ ขาดตกบกพร่องอะไร เพราะแต่งตอนดึกๆ แบบนี้มันเบลอจริงๆ ค่ะ ไม่ได้ตรวจดูคำผิดด้วย ใครชอบก็เมนต์บอกกันได้นะคะ อิอิ ><