[Fic Yume 100 : Rica x Altair] Feeling

 

Feeling

Paring : Rica x Altair

Type : AU fic

 

__________________________________________________

 

 

ประโยคที่ว่า “เราจะไม่มีวันเห็นคุณค่าของของสิ่งหนึ่ง ถ้าหากว่าเราไม่สูญเสียมันไปเสียก่อน”

 

เป็นประโยคที่ริกะแทบจะไม่เคยใส่ใจมันเลยสักนิด คนเราควรเห็นคุณค่าของของสำคัญของเราอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าพอเสียมันไปถึงจะเพิ่งมาระลึกถึงความสำคัญ

 

เคยคิดเช่นนี้มาตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่ของสำคัญของเขาตอนนี้ได้หายไป

 

ที่เคยคิดว่าจะดูแล เอาใจใส่ และรักให้มากๆ ทุกอย่างกลายเป็นเพียงคำพูดที่ออกมาจากลมปาก และความคิดที่สวยหรูเท่านั้น

 

แก้วเหล้าทรงเตี้ยที่บรรจุน้ำสีอำพันไว้ครึ่งแก้วถูกหมุนวนไปมาในมือเบาๆ ด้วยร่างสูงที่มีท่าทางเหม่อลอย ข้างกายมีสมุดเล่มเล็กมากมายที่ทั้งถูกเปิดอ่านค้างไว้ และปิดสนิทบ้างก็มี ดวงตาสีทองเรียวคมเหลือบมองสมุดพวกนั้นเป็นพักๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมา

 

สมุดพวกนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของคนๆ หนึ่งที่ตอนนี้เหมือนจะไม่อยู่ด้วยกันอีกแล้ว

 

หน้าปกแบบเรียบๆ ที่มุมล่างซ้ายมีชื่ออันคุ้นเคยเขียนติดไว้พร้อมกับสติ๊กเกอร์รูปดาวเล็กๆ เรียกให้สายตาเรียวคมที่เคยดูเจ้าเล่ห์ดูอ่อนแสงลง เจ้าของร่างที่นั่งบนโซฟาข้างสมุดเล่มเล็กนั้นหยิบยกขึ้นมา ก่อนจะคลี่ยิ้มเจื่อนออกมาเมื่อได้เห็นตัวหนังสือเรียบสวยที่บรรจงเขียนอยู่ในนั้น

 

ไดอารี่ประจำวันที่ถูกเขียนด้วยความตั้งใจ เล่าเรื่องราวที่เจ้าของได้ประสบมาทั้งวันเขียนลงไปอย่างสนุกสนาน แม้ว่าบางครั้งเนื้อหาภายในนั้นอาจมีเรื่องที่ไม่จรรโลงใจบ้าง แต่คนเขียนกลับมองโลกในแง่บวกอยู่ตลอดจนถ่ายทอดมันออกมาให้น่าอ่านได้ บางครั้งจะมีการแนบรูปถ่ายจากกล้องโพลาลอยเอาไว้ ราวกับจะย้ำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

 

แต่ยิ่งเปิดหน้ากระดาษไปมากเท่าไหร่…มากเท่าไหร่ เนื้อหาที่อยู่ในกลางเล่มยิ่งสลดมากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มเริ่มเลือนหายจากใบหน้าหล่อ กระดาษบางหน้ามีคราบเหมือนหยดน้ำเคยหยดลง บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าของสมุดคงจะร้องไห้ตอนที่เขียนไดอารี่วันนี้

 

ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงโดยที่สมุดเล่มนี้ถูกเขียนไม่เต็มอย่างหลายเล่มอื่นๆ วันที่วันสุดท้ายที่อยู่ในไดอารี่เล่มนี้คือเมื่อหกเดือนก่อน

 

ประโยคสุดท้ายในหน้ากระดาษ เมื่อครั้งอ่านตอนแรกริกะไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเลยสักนิด แต่ผิดกับรอบนี้ที่มันสามารุทำให้หัวใจของริกะรู้ชาวาบและวูบโหวงในอก ราวกับโลกทั้งใบของเขามันพังทลายลงไป

 

‘…ในเมื่อคนมันหมดรัก จะให้รั้งยังไงก็คงไม่กลับมา…ใช่ไหมล่ะ?’

 

เป็นคำถามที่เหมือนถามกับตัวเองโดยที่ไม่ต้องการคำตอบ และเหมือนตัดพ้อในเวลาเดียวกัน ริกะพอจะนึกถึงสีหน้าของคนเขียนในยามนั้นออกได้ดี มันคงไม่ต่างอะไรกันมากกับวินาทีที่เขาได้เอ่ยประโยคหนึ่งออกไปต่อหน้าเขาคนนั้น…

 

“ฉันไม่ได้รักนายแล้ว…เลิกกันเถอะ”

 

…สีหน้าที่เหมือนโลกทั้งใบได้พังลงเพียงไม่กี่วินาทีที่เขาได้เห็นมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกใจอ่อนลงเลยยามนั้น ใบหน้าที่กำลังแย้มยิ้มด้วยความสุขจากการเพิ่งทำอาหารจานโปรดเสร็จ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง ดวงตาสีเขียวมรกตที่เบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นระริกอย่างคนพูดอะไรไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นกลับกำลังคลี่ยิ้มออกมา ทั้งที่หัวใจของคนๆ นั้นอาจจะกำลังร้องไห้อย่างหนัก แต่รอยยิ้มอบอุ่นดังเช่นทุกที คือสิ่งที่เขาได้รับกลับมา

 

นึกว่าจะได้รับของขวัญเป็นจานอาหารในมือนั้นที่ลอยมาติดหน้า แต่ศีรษะได้รูปกลับพยักหน้ารับเงียบๆ รอยยิ้มฝืดเฝื่อนมากขึ้น ก่อนจะวางอาหารไว้บนโต๊ะและเดินกลับห้องตนเองไป

 

ความโล่งใจในตอนนั้นทำให้ริกะรู้สึกมีความสุขแบบที่สุด เขาเดินไปเคาะประตูห้องนั้นเบาๆ ก่อนจะบอกอีกคนให้เตรียมย้ายออกจากคอนโดแห่งนี้ และเขาก็ออกไปผจญกับโลกแสงสีและใครอีกคนที่เขาคิดจะสานสัมพันธ์ต่อ และพอกลับมาในตอนเช้าคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว

 

ไม่มีแม้แต่คำบอกลาใดๆ โน้ตเขียนแปะสักใบยังไม่มีอย่างที่เขามักจะทำ ริกะไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองคาดหวังในสิ่งพวกนี้ทำไมในเมื่อเขาตัดสินใจไล่อดีตคนรักออกไปเอง แต่สิ่งที่คนๆ นั้นเหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าคือสมุดไดอารี่ของเจ้าตัวที่วางระเกะระกะเต็มพื้นห้อง ราวกับว่าเจ้าตัวตั้งใจที่ทำลายมันแต่ก็ทำไม่ลง

 

ทุกอย่างภายในห้องนอนเรียบหรูนั้น ยังคงเหมือนเดิม ริกะไม่ได้คิดจะเอาของที่ยังค้างอยู่ทิ้งสักนิด และเขาคิดว่าเขาคิดถูกแล้วที่ยังไม่กำจัดมัน เพราะทุกอย่างภายในห้องนี้ยังคงมีกลิ่นของเขาคนนั้นเหลืออยู่

 

เตียงนุ่มที่ยับยู่ถูกเจ้าร่างสูงของริกะทิ้งตัวลงนอนอย่างแรง ฝ่ามือขาวกำผ้าปูแน่น สูดกลิ่นกายเฉพาะของอดีตเจ้าของเตียงที่เริ่มเจือจางจนแทบจะไร้กลิ่น

 

คิดถึง…

 

โหยหา…

 

และคิดผิดมาตลอดที่ทำให้กลายเป็นแบบนี้

 

มันควรเป็นความคิดของคนที่เลือกเป็นฝ่ายยุติความสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ?

 

เสียงฝนที่ตกพรำๆ อยู่ด้านนอกคอนโดทำให้รู้สึกว่ามันเหงาจับขั้วหัวใจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทุกครั้งเขาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะไร้คนข้างกาย ยิ่งยามที่ฝนตกแบบนี้การที่ได้นั่งนอนอยู่กับใครสักคนมันช่วยให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อย่างน่าประหลาด

 

ผิดกับตอนนี้ที่รู้สึกหนาวราวกับหัวใจถูกแช่แข็งเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

 

เพิ่งได้รู้ตัว ว่ารักเขามากขนาดไหนก็ตอนเสียเขาไป

 

เพิ่งได้รู้ตัว ว่าอีกคนสำคัญต่อหัวใจขนาดไหน ก็ตอนที่เขาไม่อยู่แล้ว

 

ไม่ใช่คนแก้เหงา ไม่ใช่แค่คนที่อยากกอดให้อุ่นยามต้องการ

 

แต่เป็นทั้งลมหายใจและความสุข

 

……….

 

สายฝนยามค่ำคืนมักจะหนาวเหน็บกว่าเวลาใด แต่ไม่ได้มีผลกับร่างสูงที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินโดยไร้สิ่งกันฝนแม้แต่น้อย เส้นผมสีช็อกโกแลตเปียกลู่ใบหน้า จนแทบจะหมดมาดหล่อเหลาดังเช่นทุกที มือกำโทรศัพท์แน่นเมื่อได้รับข่าวสำคัญที่ไหว้วานเพื่อนให้สืบมา

 

เสื้อผ้าชั้นดีเปียกแนบลำตัวแกร่ง หยดน้ำเล็กๆ เกราะพราวตามลำตัวจนเปียกชุ่มแม้ว่าฝนจะไม่ตกหนักมากก็ตาม ร่างสมส่วนนี้หยุดลงที่หน้าบ้านเล็กๆ ชั้นเดียวหลังหนึ่ง แสงไฟไม่กี่ดวงที่เปิดสว่างอยู่พอให้เจ้าตัวรู้ว่ายังมีคนอยู่

 

นิ้วเรียวกดกริ่งที่ติดอยู่ตรงกำแพงบ้าน เขาผุดยิ้มน้อยๆ กับตนเอง ไม่ได้หวังหรอกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้จะให้การต้อนรับที่ดีกับเขา แต่ที่มาวันนี้ก็เพียงอยากจะพูดอะไรบางอย่างเท่านั้น บางอย่างที่เขารู้สึกมาตลอดและต้องการที่จะบอกให้กับอีกคนได้รู้

 

เสียงฝีเท้าที่เร่งย่ำพื้นจนหยดน้ำสาดกระเซ็นดังใกล้มาเรื่อยๆ ฝ่ามือหนาเสยผมที่ลู่ตามใบหน้าขึ้นลวกๆ เผยให้เห็นใบหน้าขาวจัด ไม่นานเสียงประตูรั้วดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏร่างของใครบางคนที่ริกะรอคอย

 

“ริกะ…”

 

“อัลแตร์…”

 

เสียงแผ่วเบาสองเสียงเอ่ยออกมาจนแทบจะโดนเสียงฝนกลบ ร่มคันใหญ่ที่อัลแตร์ถือไว้ในมือเริ่มสั่นนิดๆ เมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน ก่อนที่ร่างกายจะขยับไปอย่างไม่รู้ตัว จนทั้งเขาและริกะยืนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน

 

ร่างที่สูงกว่าก้มหน้านิ่ง ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ท่ามกลางสายตางุนงงของคนตัวเล็กกว่าที่ทอดมองอย่างเป็นห่วง ฝ่ามือขาวที่อุ่นกว่าของอัลแตร์ค่อยๆ เอื้อมไปสัมผัสท่อนแขนเย็นเฉียบตรงหน้า ในขณะที่สมองกำลังกลั่นกรองคำพูด เสียงของริกะดังขึ้นเสียก่อน

 

“ขอโทษ…” เสียงทุ้มเอ่ยสั่นๆ ดวงตาหลับลงอย่างยอมแพ้

 

“ฉันโง่เอง ฉันผิดเอง…” ฝ่ามือเย็นเฉียบคว้ามือที่จับท่อนแขนของเขามากุมไว้แน่น

 

“ที่จริงแล้ว..ฉันรักนาย…”

 

ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างจนเผลอกำร่มในมือแน่น

 

“…รักมาตลอด รักที่สุด”

 

รอยยิ้มอ่อนโยนที่ริกะไม่ได้เห็นมานานผุดขึ้นบนใบหน้า เส้นผมสีน้ำตาลเปลือกไม้ปลิวเล็กน้อยยามสายลมพัดต้อง ลมหายใจอุ่นๆ รดใบหน้าริกะเล็กน้อยยามที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตา

 

“รักนายเหมือนกัน…”

 

_____________________________________________

 

ส่งหัวข้อเมื่อฝนพรำประจำสัปดาห์นี้ค่าาาาาา ในที่สุดก็มีโอกาสได้เขียนเรือที่ตัวเป็นกัปตันสักที 555555555555555555 แถมมาแบบดราม่าอีกนะ อะไรเนี่ย รักริกะและอัลแตร์นะคะ จุฟๆ(?)

ตอนที่เขียนนี่ก็จะฝนตกอยู่จริงๆ ค่ะ และไฟดับอีกต่างหาก ฟิคจึงต้องมาค่ะ! แต่เหมือนจะสั้นไปนิด…ใครมีความเห็นอย่างไรติชมกันมาได้เต็มที่นะคะ คิดถึงฟีดแบคของทุกๆ คนค่ะ

[Fic Yume 100 : Apollo x Julius] พบพาน (R18)

 

พบพาน

Pairing : Apollo x Julius

Type : AU Omegaverse

_____________________________________

เคร้ง!!

เสียงชนแก้วดังลั่นไปทั่วภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงไชโยโห่ร้องอย่างอารมณ์ดีของคนจำนวนไม่น้อยภายในห้อง เสียงอ้อแอ้แบบคนเมาไม่ได้สติจนฟังไม่ได้ศัพท์ทำให้ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความรำคาญ ปลีกตัวเองออกไปนั่งอีกมุมหนึ่งของห้อง

ดวงตาสีเปลวเพลิงพระอาทิตย์ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอย จากที่ๆ เขานั่งอยู่คือชั้นสามของตึกแห่งหนึ่ง จากระดับนี้เขาสามารถมองลงไปเห็นพื้นที่กว้างซึ่งเป็นสวนสาธารณะได้อย่างชัดเจน แสงไฟจากเบื้องล่างทำให้ร่างสูงพอมองเห็นน้ำพุที่ยังปล่อยกระแสน้ำออกมาและยอดไม้ที่ไหวตามลม

แต่จะดีกว่านี้ถ้าจมูกไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คลุ้งอยู่ในห้อง

“เฮ้ อพอลโล…ม่ายย..ดื่มสักหน่อยเหรอ…? อึก!”

เจ้าของชื่อ อพอลโล ที่นั่งไขว่ห้างในมือถือแก้วไวน์ที่เหลือเพียงหนึ่งส่วนสี่แก้ว ปรายตามองเพื่อนร่วมงานของตนที่เดินโซเซมาหาแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวช้าๆ เป็นคำตอบพร้อมตอบเสียงติดหน่าย

“ฉันมีงานยังต้องกลับไปทำอีก เมามากไม่ได้”

“โธ่ งานอะไรอีกวะ แทนที่จะใช้เวลานี้ให้สนุกสุดๆ ไปเลย!!” หนุ่มร่างใหญ่ว่าพลางชูแก้วเหล้าขึ้นเหนือหัว

“หึ..”

อพอลโลยกยิ้มมุมปาก เลิกสนใจเพื่อนตนเองที่เดินจากเข้าไปร่วมวงเหล้าอีกครั้ง ดวงตาคู่คมปิดลงยามที่ใบหน้าสัมผัสได้ถึงสายลมที่โชยมาจากภายนอก มันเย็นสบาย และให้ความรู้สึกดีกว่าลมจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องนิดหน่อย

แต่แล้วบางอย่างก็ทำให้คิ้วของอพอลโลกระตุก กลิ่นบางอย่างที่ลอยโชยมากับสายลมกระตุ้นประสาทและความรู้สึกบางอย่างของอพอลโลเข้าอย่างจังจนเขาต้องรีบลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวคมสอดส่ายมองหาต้นตอของกลิ่นอันรุนแรงที่ลอยมาเตะจมูกของตน

‘กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้า’

แต่เริ่มเดิมทีอัลฟ่าเต็มตัวอย่างอพอลโลก็จมูกดีอยู่แล้ว แต่กลิ่นฟีโรโมนที่สามารถลอยมาตามลม จนขึ้นมาถึงชั้นสามของตึกได้ ไม่น่าใช่ระดับฟีโรโมนที่ธรรมดา

ดวงตาสีเปลวเพลิงกวาดมองไปทั่วภายนอกอย่างร้อนรนอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนนี้เขายังไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น เขาเพียงแค่ต้องการรู้ต้นตอของกลิ่น เพราะเป็นไปได้ว่า กลิ่นที่รุนแรงแบบนี้แม้แต่เจ้าตัวก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจปล่อยมันออกมา

 

โอเมก้าบ้าที่ไหนจะมาเดินปล่อยกลิ่นในเวลาค่ำคืนแบบนี้ ถ้าไม่ใช่โอเมก้าชั้นล่างหน่อยล่ะก็นะ…

และแล้วแสงไฟภายในสวนสาธารณะก็ทำให้อพอลโลมองเห็นเงาปริศนาที่อยู่ในนั้น แม้จะหลบในมุมมืดที่แสงไฟส่องไปไม่ถึง แต่รูปร่างเงาที่โซเซก่อนจะแน่นิ่งลงไปใต้ต้นไม้นั้นต้องไม่ผิดแน่!

ร่างสูงหมุนตัวกลับเข้ามาภายในห้อง จัดการปิดหน้าต่างเพื่อกันไม่ให้กลิ่นฟีโรโมนลอยเข้ามาในห้องมากกว่านี้จนกระทบเข้ากับพวกขี้เมาอัลฟ่าในห้อง ฝ่ามือหนาคว้าเอาเสื้อสูทที่ถอดวางไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องโดยไม่สนใจเสียงเพื่อนร่วมงานที่พากันตะโกนถามเลยสักนิด

.
.
สองขายาวก้าวไวมากยิ่งขึ้น ยิ่งเข้าใกล้สวนสวนสาธารณะมากเท่าไหร่ กลิ่นฟีโรโมนก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นจนหัวหมุน อารมณ์เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละนิด แต่อพอลโลมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าชั้นสูงพอที่สามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้มากพอ เขาส่ายศีรษะเบาๆ รีบเดินไปยังต้นตอของกลิ่น จุดที่เป็นใต้ต้นไม้ต้นที่เขามองเห็นจากชั้นสามคือที่ๆ อพอลโลรีบเดินไป

แต่ครั้นพอจะถึงบริเวณนั้น เสียงเอะอะโวยวายพลันดังขึ้นกระทบโสตประสาท เหมือนจะมากกว่าสองคนเสียด้วยซ้ำ คิ้วสีเดียวกับเส้นผมขมวดมุ่นเข้าหากัน ร่างกายมีปฏิกิริยาให้ระวังตัวมากยิ่งขึ้น ค่อยๆ ย่องเบาเข้าไปทางด้านหลังพุ่มไม้สูงระดับอก

“ปล่อย…เว้ย!!” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างติดขัด ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเหมือนอะไรหนักๆ โดนถีบ

“อุ่ก! หนอยแก! เป็นแค่โอเมก้า คิดมาถีบอัลฟ่าอย่างฉันเหรอฮะ!?”

“แล้วจะทำไม! อัลฟ่าอย่างพวกแกก็ยังคิดแค่จะทำเรื่องอย่างว่าแค่นั้– อื้อ!!”

อพอลโลกะพริบตาถี่ๆ เมื่อได้ยินประโยคด่าทออัลฟ่า พอจะทำให้จับเค้าเรื่องได้ เพียงเท่านั้น เส้นเลือดที่ขมับกระตุกถี่ขึ้นทันที สองมือกำเข้าหากันแน่นจนขึ้นข้อขาว ไม่ใช่ว่าโกรธที่โอเมก้าปริศนาพูดจาด่าทออัลฟ่าอย่างเขา แต่ที่โกรธก็คือไอ้พวกอัลฟ่าชั้นต่ำที่รังแต่จะทำให้อัลฟ่าอย่างเขาโดนมองอย่างนั้นไปด้วยต่างหาก!

“เฮ้ย!!”

เสียงกัมปนาทดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวออกไปจากหลังพุ่มไม้ของอพอลโล ชายที่เป็นอัลฟ่าสองคนดูจะตกใจเล็กน้อยกับการมาของคนแปลกหน้า แต่กลับไม่ได้สนใจอพอลโลสักเท่าไหร่ แต่ผิดกับโอเมก้าที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อ แม้จะเพียงชั่วขณะที่แสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา แต่ก็ถอนสายตาออกแล้วพยายามขัดขืนคนบ้ากามสองคนตรงหน้าต่อ

“นายก็เป็นอัลฟ่าใช่ไหม” อัลฟ่าร่างสูงผอมพูด

“สนใจจะมาร่วมด้วยกันไหมล่ะ หมอนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ– อั่ก!!”

ยังไม่ทันที่อัลฟ่าอีกคนจะเอ่ยจบประโยคดีๆ หมัดหนักๆ ของอพอลโลจัดการเสยเข้าที่ใบหน้านั้นอย่างแรงจนร่างนั้นปลิวไปอีกทาง นอนกองกุมหน้ากับพื้นด้วยความเจ็บปวด อัลฟ่าที่เป็นเพื่อนกันเห็นดังนั้นก็เดือดดาลขึ้นมา ปล่อยมือจากร่างของโอเมก้าจนร่างนั้นร่วงลงไปนอนกับพื้น

“แก!! ย้ากก– อ๊ากกกก! อั่ก!!”

กำปั้นที่กำลังจะโดนใบหน้าได้รูปของอพอลโล ถูกฝ่ามือร้อนรับเอาไว้อย่างง่ายดายก่อนจะหักบิดอย่างรุนแรงจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น ก่อนจะตามด้วยหมัดของอพอลโลอีกหนึ่งหมัดเข้าที่กลางใบหน้านั้น หยาดเลือดอุ่นๆ ไหลออกมาจากจมูกจนเปื้อนหลังมือของอพอลโลเล็กน้อย

“จำใส่สมองพวกแกเอาไว้” อพอลโลเอ่ยเสียงเรียบเย็น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด “เกิดเป็นอัลฟ่าก็ใช่ว่าให้มาทำเรื่องต่ำๆ แบบนี้! ถ้าอยากมากล่ะก็เชิญที่ที่เขามีให้ ฉันไม่อยากให้ใครมาเหมารวมว่าอัลฟ่าอย่างฉันเป็นแบบเดียวกับพวกแก! จำใส่หัวไว้ซะ!!”

นิ้วเรียวยาวยื่นออกมาชี้หน้าอัลฟ่าที่นอนกองที่พื้นเป็นการเน้นย้ำ เสียงคำรามหนักแน่นนั้นทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนกลัวจนตัวสั่น พยักหน้ากันรัวๆ ก่อนจะพากันตะเกียกตะกายวิ่งหนีออกไปจากที่ตรงนี้ทันที กลิ่นฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาจากร่างโอเมก้าที่นอนขดใกล้ๆ ไม่ได้ทำให้พวกเขานึกอยากอีกแล้ว

ดวงตาเรียวคมจ้องมองแผ่นหลังที่วิ่งหนีหายไปแล้วถอนหายใจพรูใหญ่ออกมา ก่อนจะรีบตวัดสายตามองคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ กันทันที

“นาย..เป็นยังไงบ้าง” ร่างกำยำนั่งยองๆ ลงข้างกายที่นอนขด พลางพยายามสำรวจกายอีกคนไปด้วย

โอเมก้าหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย เส้นผมสีดำเข้มแซมด้วยสีขาวตรงปลายปรกใบหน้าจนยากต่อการมองเห็น ศีรษะได้รูปนั้นส่ายปฏิเสธก่อนพยายามจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง

“ขอบคุณ”

น้ำเสียงราบเรียบติดหอบนั้นทำให้อพอลโลรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย อุตส่าห์มาช่วยแท้ๆ แต่ช่วยพูดให้มันเต็มใจกว่านี้ไม่ได้รึยังไง ที่สำคัญคือกลิ่นฟีโรโมนที่ยังคลุ้งอยู่ตอนนี้ อพอลโลต้องใช้ความพยายาม อย่างมากที่จะไม่กระโจนใส่อีกคน

“นายชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง” อพอลโลพยายามสงบสติอารมณ์อย่างสูง ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดแรงๆ แม้จะเป็นการเสี่ยงไม่น้อยที่เขาอาสาขาถีบจะไปส่งแบบนี้ แต่จะให้เรียกแท็กซี่ เขาก็ไม่ไว้ใจเช่นกัน

“ยูริอุส…ไม่ต้อ…”

“เฮ้ย!!”

อัลฟ่าหนุ่มถลาตัวเข้าไปรับร่างตรงหน้าได้ทันท่วงทีก่อนที่จะล้มหน้าฟาดพื้น ดวงตาสีเพลิงทอดมองหลังคอของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยรอยแดงเถือกขนาดใหญ่ที่เหมือนกับถูกเสียดสีด้วยอะไรสักอย่าง ปนๆ ไปกับรอยแดงที่มีคราบเลือดติด น่าจะเป็นรอยเล็บของเจ้าพวกอัลฟ่าชั้นต่ำพวกนั้น

อพอลโลสูดลมหายใจเข้าออกระงับสติอีกครั้ง ดีที่ว่าพออีกคนสลบไปแล้ว กลิ่นฟีโรโมนก็พอลดลงไปด้วย แต่ปัญหาต่อมาก็คือเขาไม่รู้ว่าบ้านของหมอนี่อยู่ไหน แล้วเขาจะพาไปส่งได้ที่ไหนล่ะ…

สุดท้าย…ก็พามาที่คอนโดของตัวเองจนได้

ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีตะวันค่อยๆ วางร่างของโอเมก้าในวงแขนลงกับเตียงอย่างทุลักทุเล ถ้าเขาได้ยินไม่ผิดโอเมก้าคนนี้น่าจะชื่อ ยูริอุส เจ้าของห้องค่อยๆ ดึงผ้าห่มคลุมทับร่างอีกฝ่ายอย่างลวกๆ ก่อนจะนั่งตีหน้ายุ่งอยู่บนเตียงอย่างคิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดหาทางแก้ ร่างที่สลบไปเกือบชั่วโมงค่อยๆ ขยับตัว เปลือกตาค่อยๆ เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าครามขุ่นที่ดูอิดโรย

“นายเป็นยังไงบ้าง”

“ที่นี่ที่ไหน”

“…คอนโดฉันเอง”

คนฟังที่ยังมีอาการมึนๆ เหลือบสายตามองร่างสูงกว่าที่นั่งตรงปลายเตียง คิ้วเรียวสีดำขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางพยายามดันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่บาดแผลฟกช้ำตามตัวและอาการอ่อนเพลียทำให้ต้องล้มตัวลงนอนต่ออย่างช่วยไม่ได้

“นอนไปซะ เดี๋ยวจะหาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”

“ขอบคุณ” น้ำเสียงอิดโรยดังขึ้นเบาๆ รอบนี้อพอลโลรู้สึกว่ามันน่าฟังกว่าเมื่อครู่เยอะ พอหันสายตากลับมา ยูริอุสก็หลับต่อไปอีกรอบ

อพอลโลยกยิ้มให้กับตัวเอง ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนใจดีมีความอดทนขนาดนี้ มีโอเมก้าที่ไม่ยอมแพ้ให้กับอัลฟ่าแบบนี้มาอยู่ในมือ มันทำให้อพอลโลรู้สึกสนใจอีกคนมากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาเขาก็แค่มองว่าโอเมก้าเป็นพวกชั้นต่ำที่ต่างจากเขามากจนเทียบไม่ติด ทำตัวอ่อนแอและขี้แพ้ยอมให้คนอื่นง่ายๆ แต่กลับไม่ใช่กับคนๆ นี้

ไหนจะยังกลิ่นฟีโรโมนที่รุนแรงจนแทบจะพรากสติของเขาไปได้อย่างง่ายดายนั่นอีก ขอบคุณตัวเองที่พอจะยับยั้งไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่ามออกไป

…..

.

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ที่อพอลโลใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับโอเมก้าภายในคอนโดของเขา ดีที่ว่าที่นี่มีห้องนอนอยู่สองห้อง ทั้งสองจึงแยกกันนอนได้อย่างสบายใจ แถมสามวันมานี้ก็ดูปกติทุกอย่าง ยูริอุสลุกขึ้นและทำอะไรๆ ด้วยตัวเองได้สบายแล้ว พอเจ้าของห้องกลับมาจากทำงานก็มักจะมีของว่างที่ถูกเตรียมไว้รออยู่ก่อนแล้ว แถมอาหารเย็นก็ไม่ต้องโทรสั่งหรือออกไปทานข้างนอกคนเดียว เพราะมีแขกจำเป็นที่ทำให้ แม้ว่ารสชาติมันจะไม่ได้อร่อยมากก็ตาม

เวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียว…อพอลโลกลับรู้สึกถูกชะตากับโอเมก้าคนนี้มากอย่างไรก็ไม่รู้ เขามักจะรู้สึกอยากกลับคอนโดให้ไวขึ้น เพื่อที่จะได้มามองหน้ามู่ทู่ที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มจากอีกคน

แต่วันที่แปด..วันนี้แปลกไป

ทันทีที่อพอลโลเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง เขาต้องชะงักกึกอยู่ตรงประตูอยู่นานเพราะกลิ่นฟีโรโมนอันคุ้นเคยจากเมื่อหลายวันก่อนลอยเข้ามาเตะจมูกอย่างจัง และดูเหมือนว่ามันจะส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่วทั้งห้องเขาอีกด้วย

“ยูริอุส..นาย..โอเคไหม” อพอลโลยืนอยู่หน้าห้องอีกคนที่ปิดประตูสนิทแต่กลิ่นฟีโรโมนกลับชัดเจนที่สุดจนอพอลโลพูดตะกุกตะกัก

“มะ..ไม่..ไม่เป็นไร..อึก!” เสียงพูดจากภายในห้องเอ่ยอย่างยากลำบาก

อพอลโลเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้คงเป็นช่วงฮีทของอีกคนไม่ผิดแน่ กลิ่นมันถึงรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนและ..กระตุ้นตัวเขามากกว่าครั้งก่อน

“อ..พอล..โล..”

ตึง!!

สิ้นเสียงแหบพร่าที่เรียกชื่อเขาจากภายในห้อง สติของอพอลโลพลันขาดผึงลง ร่างสูงไม่รอช้า เปิดประตูเข้าไปแทบจะทันที ลมหายใจเข้าออกที่ไม่สม่ำเสมออยู่แล้วยิ่งแย่กว่าเดิมเมื่อเห็นสภาพภายในห้องและคนที่นอนอยู่บนเตียง…

“ยู..”

“อ..พอล..อื้อ!”

ร่างสูงกำยำปีนขึ้นเตียงอีกคนอย่างว่องไว ริมฝีปากหนากดจูบเข้ากับกลีบปากที่เผยอออกอยู่ก่อน ช่วงชิงลมหายใจอุ่นร้อนจากอีกคนเข้ามาในโพรงปากของตนเอง ก่อนจะบดเบียดลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจในโพรงปากหวานอย่างอ้อยอิ่ง เสียงครางอื้ออึงในลำคอทำให้อพอลโลรู้สึกพอใจ

บางที..คนตรงหน้าอาจจะเป็นคู่โชคชะตาสำหรับอพอลโล เพราะสำหรับเขาที่ไม่นึกสนใจโอเมก้าคนไหนเลยมานาน กลับตกเข้ามาในหลุมที่อีกคนสร้างไว้ได้อย่างง่ายดาย ฟีโรโมนของโอเมก้าที่เขาไม่นึกพิศวาส แต่พอเป็นของคนๆ นี้ ของยูริอุสเขากลับหลงใหลมันเสียจนปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้

เสียงแลกเปลี่ยนน้ำลายและเสียงริมฝีปากบดจูบกันดังคลอเคล้าไปทั่วห้อง อพอลโลละริมฝีปากออกเชื่องช้าเคลื่อนต่ำกดจูบไปตามสันกรามเรื่อยลงมาจนถึงซอกคอที่หอมกรุ่นของอีกคน ฟีโรโมนที่ชวนให้ติดกับจนยากจะถอนตัวพรากสติอันน้อยนิดของอพอลโลให้กระเจิงไปเรื่อยๆ รอยสีกุหลาบมากมายประทับเข้ากับซอกคอขาวมากขึ้นจนกายเล็กในวงแขนบิดเร้ารุนแรง

“อพอล..โล..ฉัน ถ้า..ถ้าเป็นนาย” ยูริอุสค่อยๆ ใช้มือดันไหล่อีกคนให้ออกห่าง ดวงตาสีฟ้าขุ่นจดจ้องเข้าไปในความร้อนแรงของสีเปลวเพลิงตรงหน้า ท่าทางไม่มั่นใจนั้น ทำให้อพอลโลนึกเอ็นดู

“ไม่สมเป็นนายเลยนะ” ฝ่ามือใหญ่ลูบเข้าที่เส้นผมสีดำนุ่มมือ ก่อนจะรั้งร่างนั้นเข้ามาใกล้และมอบจูบลึกล้ำให้อีกครั้ง

ฝ่ามือกว้างใหญ่จัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตนเองและของยูริอุส กายขาวตรงหน้ายิ่งทำให้สติของอพอลโลกระเจิงมากยิ่งขึ้น ใบหน้าคมสันก้มลงประกบริมฝีปากเข้ากับยอดอกของอีกฝ่ายที่ชูชันอยู่ก่อน เสียงครวญครางสุขสมลั่นออกมา ลิ้นร้อนชื้นตวัดเลียไปมารอบๆ ทั้งยังขบกัดจนชุ่มฉ่ำไปหมด

เสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงพร้อมกับกลิ่นฟีโรโมนผสมไปกับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของยูริอุสปลุกสัญชาตญาณดิบของอพอลโลให้ตื่นขึ้น เขาเลื่อนมือลงต่ำสอดเข้าไปภายในร่มผ้าผืนบางเบื้องล่าง สัมผัสความร้อนรุ่มที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นของอีกคน ปลายนิ้วร้ายสะกิดแรงๆ เข้าที่ปลายยอดจนความเหนอะหนะบางอย่างได้ไหลซึมออกมา

“อะ..อ๊า..อพอล..” ยูริอุสบิดตัวเร้าในอ้อมแขนของอพอลโลมากขึ้น สองแขนยกโอบกอดรอบลำคอแกร่งพลางซุกหน้าเข้ากับลาดไหล่กว้างที่อบอุ่น

“นายจะเป็นของฉันตลอดไป ยูริอุส”

“อื้ม อึก!”

ฝ่ามือร้อนกอบกุมรอบความเป็นชายของร่างในวงแขน ขยับรูดรั้งรุนแรงจนอีกคนผวาวาบ ส่งเล็บทั้งจิกทั้งข่วนเพื่อระบายความอัดอั้นของตนกับแผ่นหลังกำยำ สะโพกมนขยับสวนทางกับฝ่ามือที่ขยับ เรียกรอยยิ้มร้ายในฉายขึ้นบนใบหน้าคมเข้มได้ไม่ยาก

ไม่นานนัก ของเหลวข้นพลันพุ่งออกมาเลอะหน้าท้องและฝ่ามือของอพอลโล ร่างเล็กกว่าที่ปลดปล่อยความต้องการออกมาฟุบใบหน้าลงกับลาดไหล่กว้างอีกครั้ง เม็ดเหงื่อมากมายผุดพรายตามขมับและลำคอ เสียงหายใจหอบหนักและลมหายใจอุ่นๆ ที่ข้างลำคอของอพอลโลยิ่งบั่นทอนความอดทนของเขามากขึ้นไปอีก

อพอลโลจูบเข้าที่ข้างขมับอีกคนแผ่วเบา ปลายนิ้วร้อนรุ่มอีกข้างสอดเข้าใต้เส้นผมสีดำขลับ นวดคลึงที่ท้ายทอยให้อีกคนผ่อนคลายก่อนจะกดร่างของอีกคนให้จมกับเตียงนุ่มที่รออยู่เบื้องล่าง ท่อนแขนเรียวยกขึ้นบังใบหน้าที่เห่อร้อนของตัวเอง อพอลโลหลุดขำเล็กน้อยกับท่าทางนั้นก่อนจะส่งมือไปคว้าฝ่ามือข้างนั้นไว้ ดึงออกให้พ้นจากใบหน้าใสที่แดงเรื่อ

“ฉันอยากเห็นหน้านาย” อพอลโลว่าเสียงอ่อนลง กุมมืออีกคนไว้แน่นประสานนิ้วไว้ด้วยกัน ดวงตาที่เคยดูดุร้ายน่ากลัวกลับอ่อนแสงลงราวกับเป็นคนละคน

ดวงตาสีเพลิงกวาดมองร่างตรงหน้าไปทั่วทุกส่วน จนยูริอุสต้องหลับตาลงด้วยความเขินอาย เพราะสายตาโลมเลียที่อีกคนใช้จ้องมองร่างเขามันชวนให้ใจเต้นผิดจังหวะไปหมดอย่างไม่อาจคุมได้

กางเกงขาสั้นผ้าเนื้อดีถูกถอดออกอย่างง่ายดาย ยูริอุสรู้สึกถึงความแข็งร้อนที่ดุนดันช่วงล่างของเขา ริมฝีปากเม้มแน่น ฝ่ามือจิกเข้ากับผ้าปูที่นอนจนยับยู่ด้วยความทรมาน

“เรียกชื่อฉัน ยูริอุส”

ดวงตาสีฟ้าหม่นปิดลงอีกครั้ง หันหน้าหนีริมฝีปากร้อนที่โน้มลงมากระซิบข้างหูเขาไปอีกทาง ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อคนที่จะเป็นเจ้าชีวิตของตัวเองต่อจากนี้

“…อพอลโล”

คนร้ายกาจคว้าเข้าที่ต้นขาของร่างตรงหน้าให้เปิดออกกว้างมากขึ้น ความเป็นชายของเขาจ่อที่ปากทางที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสมาก่อน รอยยิ้มเล็กๆ จุดขึ้นที่มุมปาก ยิ่งเห็นยูริอุสสั่นมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากจะแกล้งอีกคนมากยิ่งขึ้น กายกำยำขยับเข้าหาช่องทางอย่างเชื่องช้าสอดใส่ความแข็งร้อนของตนเข้ากับช่องทางอ่อนนุ่ม ก่อนจะกระแทกเข้าไปทีเดียวจนสุด

“อ๊ะ…อ๊าา!!”

แม้เสียงครางของอีกคนจะหวานหูน่าฟัง แต่อพอลโลกลับตัดสินใจปิดปากอีกคนด้วยริมฝีปากของเขา ฝ่ามือสั่นระริกลูบไล้ไปตามผิวกายร้อนรุ่มของคนบนร่าง กล้ามเนื้อมากมายพวกนั้นทำให้ยูริอุสนึกเซ็งหน่อยๆ พลันสายตาสะดุดเข้ากับลอยสักบนช่วงอกซ้ายเขาก็ยิ่งออกแรงขยับฝ่ามือมากขึ้นจนอพอลโลครางเสียงทุ้มต่ำออกมา

 

แรงกระแทกกระทั้นเบื้องล่างจากการถูกสอดใส่และขยับกายยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เสียงสวบสาบน่าอายดังออกมาไม่ขาด โอเมก้าหนุ่มบิดเร้าตัวใต้กายสูงใหญ่ที่ยังคงโหมกระหน่ำตัวเข้าไม่หยุด ยิ่งกายแกร่งที่ถูกตอดรัดขยับกระทบจุดกระสันมากเท่าไหร่ ยูริอุสยิ่งบิดตัวด้วยความเสียวซ่าน ดวงตาปรือฉ่ำไปด้วยหยดน้ำ

 

ร่างกายยูริอุสตอนนี้ตอบรับทุกสัดส่วนของอพอลโลทั้งสิ้น ความเจ็บปวดในคราแรกถูกแทนที่ด้วยความเสียวยากจะห้ามใจ ยูริอุสร้องออกมามากขึ้นเมื่อฝ่ามือหยาบเค้นคลึงเข้าที่ยอดอกของตนอย่างรุนแรง บีบขยำจนขึ้นรอยมือขนาดใหญ่

 

ใบหน้าคมพราวชื้นไปด้วยหยดเหงื่อ ก้มลงต่ำกอบกุมยอดอกอีกข้างเข้าในโพรงปาก คนข้างใต้สะดุ้งเฮือกมือจิกเกร็งเข้ากับไหล่ ตวัดเรียวขาโอบรอบเอวสอบแน่นขึ้นจนอีกคนสอดใส่เข้ามาได้มากขึ้น กายสองแนบชิดกันมากกว่าเดิมจนแทบไร้ช่องว่าง

 

“อะ อ๊า! อื้อ…! อพอล..โล”

 

เสียงหวานหูดังออกมาไม่ขาด อพอลโลถอนริมฝีปากออกจากยอดอก แลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง ฝ่ามือทั้งสอบเลื่อนมากอบกุมเอวของคนข้างใต้ไว้แน่นยกสูงขึ้นและกระแทกกายใส่อีกคนอย่างหยาบโลน คิ้วเรียวสีเพลิงขมวดเล็กน้อยเมื่อกายข้างล่างรู้สึกถูกรัดแน่น

 

“อึก.. ฮ่า..อย่าแน่น” ใบหน้าคมโค้งลงมากระซิบข้างหูแล้วขบกัดเบาๆ ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมพราวระยับเมื่อเห็นใบหูที่แดงก่ำของอีกคน ทั้งยังซอกคอขาวที่กำลังเชิญชวนเขาโดยไม่ตั้งใจ

 

ฝ่ามือกร้านแดดของยูริอุสควานสะเปะสะปะไปมา จนคว้าเข้าที่ไหล่ของอพอลโลไว้ได้ เจ้าตัวจับไหล่นั่นไว้แน่นมากขึ้นเพื่อเป็นที่ประคองตนเอง ดวงตาสีฟ้าขุ่นที่คลอไปด้วยหยดน้ำตาจดจ้องมองใบหน้าหล่อคมตรงหน้า ริมฝีปากเผยอขึ้นลงเบาๆ ราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง

 

อัลฟ่าหนุ่มคว้าเข้าที่เรียวขาที่กำลังจะตกลงข้างกายไว้แน่น และแยกออกมากกว่าเดิม ลิ้นอุ่นร้อนโลมเลียเข้าที่หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อลอนสวย ช่องทางอุ่นตอดรัดกายแกร่งของอพอลโลมากขึ้นจนรู้สึกอึดอัด ร่างสูงใหญ่ครางอืมออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะกระแทกกายเข้าใส่ช่องทางนุ่มแรงๆสองสามครั้งและปลดปล่อยของเหลวอุ่นร้อนใส่จนเต็ม

 

“อ๊าาา!!”

 

ยูริอุสเองก็ปลดปล่อยออกมาต่อหลังจากนั้นไม่นาน หน้าท้องทั้งสองเลอะคราบขาวขุ่นจนไม่น่ามอง นิ้วเรียวยาวของอพอลโลจัดการปาดคราบของยูริอุสขึ้นมาก่อนจะส่งเข้าไปในโพรงปากของตน

 

คนข้างใต้ที่เห็นดังนั้นได้แต่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ท่าทางของอพอลโลตอนนี้อันตรายยิ่งกว่ารอบเมื่อกี้หลายเท่า ดวงตาสีเพลิงยังคงวาวระยับด้วยไฟราคะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับ และก็ประจวบเหมาะกับที่โอเมก้าอย่างยูริอุสเองก็ยังไม่มีทีท่าจะเลิกราด้วยเช่นกัน

รอยสีกุหลาบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำคอ แผงอก หน้าท้อง แผ่นหลังกว้าง  ทั้งยังจุดที่ไม่น่าจะมีได้อย่างซอกขา อพอลโลจัดการประทับตราพวกนี้ไว้ทั่วร่างกายของยูริอุสราวกับจะตอกย้ำว่าทุกๆ สัดส่วนของคนตรงหน้าเป็นของเขาแล้วทั้งสิ้น เสียงทุ้มต่ำที่ครางหวานด้วยความสุขสมรอบแล้วรอบเล่าจากจังหวะเร่งเร้าและรุนแรง ยิ่งปลุกเร้าความต้องการไม่จบไม่สิ้นของคนทั้งสองให้เตลิดไปไกลจนยากจะกู่กลับ

…..

.

ภายในห้องนอนที่เปิดเครื่องปรับอากาศเสียเย็นจัด มีคนสองคนที่ยังนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา เจ้าของเส้นผมสีส้มเพลิงกึ่งนั่งกึ่งนอนใช้แขนโอบรอบคนที่ตัวเล็กกว่าที่กำลังนอนเกยอกเขาไว้พลางใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมสีดำเล่นแผ่วเบา

“อืม..” คนที่หลับสนิทมาตลอดคืนขยับตัวเล็กน้อย ศีรษะคลอเคลียเข้ากับแผงอกอบอุ่นที่ใช้หนุนอย่างคนไม่รู้ตัว จนคนที่เป็นหมอนจำเป็นต้องส่งเสียงปรามต่ำออกมา

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั้น ยูริอุสรีบเด้งตัวออกจากแผงอกแกร่ง ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วฟุบตัวลงกับหมอนนุ่มใกล้ๆ ตัวอีกครั้ง

“ฮะๆๆ ฮ่า” อพอลโล่ที่มองดูปฏิกิริยาของอีกคนอยู่ตลอดระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จนคนที่นอนฟุบอยู่รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา ยกมือต่อยเข้าที่กลางอกของอีกคนจนเสียงหัวเราะกลายเป็นเสียงไอโครกครากทันที

“เจ็บนะ!”

“ใครสน”

อพอลโลส่งมือไปขยี้เส้นผมสีดำจนฟูยุ่ง ยูริอุสขัดขืนเล็กน้อยพยายามปัดป้องมือใหญ่ที่เล่นหัวตัวเองให้ออกไป ก่อนจะกดมือใหญ่นั้นไว้กับเตียงจนนิ่งสนิท

ดวงตาสีฟ้าขุ่นทอดมองคนข้างกายนิ่งๆ ก่อนจะเสมองไปอีกทางอย่างลังเล ริมฝีปากเปิดปิดอย่างชั่งใจ ท่าทางที่เหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดทำให้อพอลโลนึกสงสัยจนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปเอง

“มีอะไร”

“ก็..แค่สงสัย…”

คิ้วสีเพลิงสีเดียวกับเส้นผมเลิกขึ้น รอคำพูดของอีกฝ่าย

“ทำไมไม่กัด..คอฉันล่ะ?”

คนฟังระบายยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำถาม ยิ่งได้เห็นสีหน้าที่ไร้ความมั่นใจของอีกคนเขาก็นึกเอ็นดูแปลกๆ จนต้องถอนมือออกจากการเกาะกุมจากมือสากที่กดมือเขาไว้กับเตียงแล้วเป็นฝ่ายกุมมือนั้นไว้แทน

“ก็ยังอยู่ด้วยกันอีกนาน จะกัดตอนไหนก็ได้”

“ไอ้บ้า!”

คนผมดำเป็นฝ่ายสะบัดมือออกทันทีที่ได้ยินคำตอบ พลางหันหน้าหนีไปอีกทางดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้แล้วตัดสินใจหลับต่อทันที ร่างกำยำเจ้าของห้องได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วทอดสายตามองร่างใต้ผ้าห่มอย่างอ่อนโยน

ก็อย่างที่เขาบอก…ยูริอุสจะเป็นของเขาตลอดไป จะไม่มีใครหน้าไหนพรากคนๆ นี้ไปจากเขาได้

เพราะฉะนั้น เรื่องสร้างร่องรอยของความเป็นเจ้าของ แค่รอยแดงนับไม่ถ้วนตามตัวพวกนั้นก็พอแล้ว

 

________________________________________

 

เคยเขียนลงไปรอบนึงแล้ว แต่นำกลับมารีไรท์ หุหุ เพิ่มฉากเรทนิดหน่อย นอกนั้นไม่มีไรเพิ่มเติม 55555555555 เรือผีอีกเรือของตัวเองค่ะ พายไปค่ะ พายไปปปป

[Fic Yume 100 : Apollo x Frost] Precious Day

 

Precious Day

Pairing : Apollo x Frost

Type : AU fic

 

_____________________________________________________________

 

 

วันที่ฝนตกหนักจนทัศนียภาพโดยรอบแทบจะเป็นสีขาวโพลนไปหมด หนำซ้ำมันยังตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ มันควรจะเป็นวันที่ใครหลายๆ คนได้นอนสบายๆ อยู่ที่บ้านของตัวเอง ดูหนังดีๆ ที่อยากดูสักเรื่อง หรืออ่านนิยายสนุกๆ สักเล่มพร้อมกับทานของว่างคู่ใจอย่างสบายอารมณ์ที่โซฟาตัวโปรดภายในบ้าน นอนรับอากาศเย็นชื้นจากสายฝนที่ชวนให้นอนได้ทั้งวัน

 

ใช่ มันควรจะเป็นอย่างนั้น

 

 

 

หยาดฝนที่เทลงมากระหน่ำสร้างความรำคาญไม่น้อยให้แก่คนที่มีธุระด่วนที่จำเป็นต้องยกสังขารออกมาจากบ้าน ฝีเท้ามั่นคงวิ่งย่ำพื้นอย่างรวดเร็วโดยไม่สนว่าน้ำจากพื้นจะสาดกระเซ็นมาโดนขากางเกงหรือตัวสักเท่าไหร่ เสื้อหนังตัวหนาถูกกระชับแน่นเพื่อกันไม่ให้ลำตัวและของที่อยู่ในเสื้อเปียก ทั้งหมดนี้วิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าตึกกระจกสูงใจกลางเมืองก่อนจะรีบพาร่างเข้าไปภายในตึก

 

เส้นผมสีขาวราวหิมะถูกสะบัดซ้ายขวาเพื่อไล่หยดน้ำที่เกาะกันพราว ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบใบหน้าตนเองลวกๆ เพื่อไล่หยดน้ำฝนที่ติดอยู่เช่นกัน ดวงตาเรียวคมกวาดมองไปทั่วตึกแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

 

เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ทุกอย่างมันจึงดูเงียบกว่าปกติ พนักงานต้อนรับที่มักจะอยู่ตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์จึงว่างเปล่า ไร้เสียงทักทายอย่างนอบน้อมดังเช่นทุกที

 

ร่างสูงใหญ่พาตัวที่เปียกชื้นของตัวเองเดินจ้ำอ้าวไปยังลิฟต์ นิ้วเรียวค่อยๆ รูดซิปเสื้อหนังของตัวเองออกเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาซองเอกสารที่ตนหยิบติดมือออกมาจากบ้านด้วยท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย

 

“ฟรอสต์ พ่ออยากได้รายงานสำหรับเดือนนี้แบบเร่งด่วน เอามาวางไว้ที่โต๊ะทำงานพ่อก่อน 9 โมงแล้วจะเข้าไปเอาเอง”

 

คนถูกสั่งครั้นได้ยินเสียงสนทนานี้จากปลายสายก็แทบจะฟิวส์ขาดทันที แต่สิ่งที่ฟรอสต์ทำได้มีเพียงรีบดีดตัวจากเตียงในเวลาเกือบ 8 โมง และมาจัดการกับเอกสารที่ว่าเพื่อให้เรียบร้อยก่อน 9 โมง และประเด็นสำคัญคือการที่เขาต้องเอามาไว้ที่ที่ทำงานของพ่อ

 

จริงๆ มันก็ที่เดียวกับที่ทำงานของฟรอสต์ เพราะฉะนั้นระยะทางที่ไม่ได้ไกลมากทำให้ฟรอสต์ตัดสินใจที่จะเดินมาด้วยตัวเอง แต่เดินมาได้แค่ครึ่งทางฝนเจ้ากรรมดันเทกระหน่ำลงมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเสียได้

 

หลังจากวางเอกสารสำคัญเสร็จและเดินออกมาจนถึงหน้าตึกแล้ว ฟรอสต์ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกรอบ ฝนยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ลมแรงๆ ที่มาพร้อมกับสายฝนทำให้ฟรอสต์รู้สึกหนาวขึ้นมานิดๆ เพราะเส้นผมและใบหน้าของตัวเองที่ยังไม่แห้งสนิทดี

 

ฝ่ามือข้างซ้ายเลื่อนไปสัมผัสที่แขนเสื้ออีกข้าง ถลกขึ้นเพื่อดูนาฬิกาข้อมือของตน วันนี้เขามีนัดประมาณ 9 โมงครึ่ง มันก็ไม่ใช่นัดสำคัญอะไรมาก ฟรอสต์ตั้งใจแต่ทีแรกว่าจะตื่นเกือบๆ 9 โมง แต่แล้วทุกอย่างก็พังลง ตอนนี้เกือบถึงเวลานัดแล้วและเขาควรรีบไป

 

คิดได้ดังนั้น ร่างของลูกชายเจ้าของตึกกระจกสวยด้านหลังก็รีบวิ่งฝ่าลุยฝนกลับบ้านของตนเองไปอีกครั้ง

 

 

เจ้าของส้นผมสีขาววิ่งมาได้ทันก่อนเวลานัดเกือบ 10 นาที นับว่าเป็นเรื่องดีที่เขาสามารถกลับมาได้ตรงเวลา แต่ปัญหาต่อมาคือเขารู้สึกหมดแรงไปเสียดื้อๆ

 

เสื้อหนังตัวแพงที่แม้จะไม่เปียกชุ่มน้ำแต่ก็ยังเปียกอยู่ดีนั้นถูกถอดออกแขวนไว้ลวกๆ บริเวณทางเข้าบ้าน รองเท้าหนังคู่งามก็ถูกสะบัดออกอย่างไม่ใยดี ร่างที่ท่อนบนและล่างเกือบจะเปียกทั้งหมดนั้นทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาแทบจะทันที

 

นอนเอาแรงสัก 5 นาที แล้วค่อยลุกไปเปลี่ยนชุดก็แล้วกัน

 

นั่นคือสิ่งที่ฟรอสต์คิด ไม่นานเปลือกตาบางค่อยๆ หลับลงอย่างอ่อนแรง

 

.

.

.

สัมผัสเย็นๆ ไล้ไปตามท่อนแขน ฉุดให้ร่างสูงที่นอนเหยียดกายบนโซฟาค่อยๆ ขยับเปลือกตา แต่กลับรู้สึกหนักอึ้งจนลืมขึ้นลำบาก เรียวคิ้วสีเดียวกับเส้นผมขมวดเข้าหากัน สติที่เหมือนจู่ๆ ก็เลือนรางกำลังร้องเตือนอะไรบางอย่างว่าเขาลืมอะไรไป

 

จำได้ว่าจะนอนเอาแรงสัก 5 นาที แล้วจะไปเปลี่ยนชุดและเตรียมของ…แต่ตอนนี้กี่โมง? และอะไรที่เย็นๆ ที่มาสัมผัสตามแขนนี่มันคืออะไร!?

 

ฟรอสต์กลั้นใจสะบัดใบหน้าแรงๆ และยันตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะต้องทรุดลงไปอีกรอบตามแรงโน้มถ่วง ร่างกายที่รู้สึกหนักอึ้งจนยากจะขยับ และอาการปวดหัวหนักๆ ทำให้ฟรอสต์แทบจะเป็นลมไปให้ได้

 

“คนป่วยน่ะ นอนเฉยๆ ไปซะ”

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำแสนคุ้นหูชวนตีดังขึ้นใกล้ๆ ดวงตาสีแดงทับทิมเหลือบมองไปทางต้นเสียงก่อนจะเลิกคิ้วมองด้วยความฉงนเล็กน้อยกับร่างที่กำลังนั่งกับพื้นจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน เส้นผมตัดสั้นสีส้มแดงแสนคุ้นตา ดวงตาสีอาทิตย์ที่ทอดมองมาอย่างขบขันจนนึกอยากจะยกมือฟาดไปที่แก้มนั่นเบาๆ แต่ลำพังจะยกมือขึ้นมายังไม่มีแรงสักนิด

 

ร่างสูงใหญ่ผู้มาเยือนคล้ายว่าจะอ่านสายตาและอ่านใจคนที่นอนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ออก เจ้าตัวหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันหน้าหนีก้มทำอะไรบางอย่างที่ข้างตัว ฟรอสต์ได้ยินเสียงเบาๆ เท่านั้น เพราะด้านนอกบ้านฝนยังคงตกหนักอยู่ และไม่นานนัก ผืนผ้าเย็นๆ ก็วางแปะอยู่บนหน้าผากด้วยฝ่ามือใหญ่ของอีกคน

 

“นายหลับไปชั่วโมงกว่าๆ ฉันเรียกตั้งนานก็ไม่ตอบ จำได้ว่านายเอากุญแจสำรองไว้แถวโต๊ะหินหน้าบ้าน ก็เลยถือวิสาสะเข้ามา” คนผมสีเพลิงว่าเสียงเรียบ ดวงตาจดจ้องใบหน้าที่เริ่มแดงเรื่อของอีกฝ่าย “ไปทำอะไรมาถึงได้ตัวเปียกแบบนี้ แล้วยังนอนทั้งๆ อย่างนี้อีก ไม่สบายเลยเห็นไหม”

 

คนฟังคล้ายเพิ่งจะรู้สึกตัวถึงอาการของตัวเองว่าที่แท้ก็ไม่สบาย ดวงตาสีแดงทับทิมส่อแววเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ตอบคำถามของคนที่มาเยือน ตอนนี้ฟรอสต์รู้สึกสบายตัวมากขึ้นจริงๆ เสื้อผ้าที่ใส่ออกไปลุยฝนเหมือนจะถูกเปลี่ยนแล้ว และเส้นผมก็เหมือนจะแห้งสนิทดี

 

เดี๋ยวนะ…เปลี่ยนเสื้อ?

 

“อพอลโล! ใครเปลี่ยนชุดฉัน!?” เสียงทุ้มติดแหบเอ่ยถามออกมาเสียงดังจนคนที่นั่งใกล้ๆ เบ้หน้าเพราะเสียงที่ลอดเข้าหู

 

“ในบ้านนี้มีใครบ้างล่ะ หึๆ”

 

เสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้และยิ้มมุปาก ทำให้ฟรอสต์ถลึงตามองอีกคนแบบดุๆ …ก็ได้แค่นี้ เพราะตอนนี้เรี่ยวแรงอันมหาศาลอย่างแต่ก่อนถูกสูบออกไปจนแทบไม่มีแรงแม้แต่จะขยับแขน ใบหน้าขาวจัดหันหนีไปอีกทางอย่างไม่รู้จะสู้อย่างไร แก้มทั้งสองข้างเริ่มรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมา ไม่รู้ว่าด้วยเพราะพิษไข้หรือเพราะลึกๆ แล้วก็เพราะแอบอายที่ถูกอีกคนจับเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

อาจจะปนๆ กันไป

 

อพอลโลมองท่าทางอีกคนพร้อมคลี่ยิ้มมุมปาก ปล่อยให้คนป่วยนอนหลับไปเงียบๆ ใจจริงเขาอยากจะแกล้งอีกคนมากกว่านี้สักหน่อย แต่เห็นสภาพที่ทำอะไรไม่ได้ของฟรอสต์แล้วก็นึกสงสารขึ้นมาเบาๆ ยิ่งเมื่อชั่วโมงกว่าก่อนที่เขาได้เข้ามาในบ้านหลังนี้ สภาพของคนที่นอนขดตรงโซฟาทำเอาหัวใจอพอลโลแทบร่วงไปกองที่ตาตุ่ม

 

แต่เริ่มเดิมทีก็เป็นห่วงมากอยู่แล้ว เพราะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ โทรหาก็ไม่รับ พอได้เข้ามาในบ้านแล้วเห็นว่านอนขดตัว ละเมอเบาๆ เพราะไข้ขึ้น อพอลโลก็กระวนกระวายไปหมด กว่าจะตั้งสติได้ก็ลนลานไปเกือบ 3 นาที

 

แต่ก็นับว่าไม่เลวเลยสักนิดสำหรับคุณชายน้ำแข็งในสภาพเช่นนี้ มาดคุณชายจอมวางท่าเย็นชาดูหายไปหมดในตอนนี้

 

เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

 

และไม่รู้ว่าเจ้าของเส้นผมสีเพลิงกัดฟันอดทนไปได้อย่างไรตอนที่เปลี่ยนชุดให้อีกฝ่าย คบกันมาก็นานหลายปี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฟรอสต์ไม่สบายจนเขามาดูแลเองแบบนี้ กายขาวซีดที่แดงเรื่อจางๆ เพราะพิษไข้ มันยั่วยวนมากในสายตาอพอลโล…

 

ไม่ได้ๆ นี่คนป่วย!

 

อพอลโลท่องคำนี้ในใจเป็นร้อยๆ รอบกว่าจะจัดการใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้อีกคนจนเรียบร้อยดี

 

นานทีเดียว…ที่เขาได้มีโอกาสนั่งมองใบหน้าที่ไร้แววเหย่อหยิ่งของอีกฝ่าย

 

“อ..พอลโล”

 

เสียงติดแหบพร่าของร่างที่นอนอยู่ดังขึ้นมาเบาๆ คนที่นั่งจุมปุ๊กอยู่กับพื้นเบิกตามองเล็กน้อย ความรู้สึกที่ไม่ได้ตื่นมานานมันกำลังร้องเตือนเบาๆ ในใจ เพราะเสียงแบบนั้น…ใช่ว่าจะได้ยินบ่อยๆ

 

ฝ่ามือกว้างเลื่อนไปสัมผัสเส้นผมสีเงินประกายเบามือ หายใจเข้าออกแรงๆ พยายามสงบสติอารมณ์ที่มันกำลังจะพุ่งพล่าน

 

ใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาหรี่ปรือที่ฉ่ำน้ำนิดๆ ริมฝีปากที่เผยอออกเพื่อพยายามโกยอากาศเข้าปอด ทั้งหมดทั้งมวลนี้สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาสีอาทิตย์ พร้อมกับเสียงอันแหบพร่าอีกครั้งของร่างที่นอนป่วยอยู่ เพียงแต่ว่า…

 

“ขอบคุ–”

 

…ริมฝีปากขาวซีดถูกครอบครองก่อนที่จะเอ่ยจบ เป็นเพียงประทับจูบนิ่งๆ ไม่มีการรุกล้ำใดๆ ฝ่ามือหนาลูบเส้นผมสีเงินหนักขึ้น ก่อนจะย้ายริมฝีปากกดจูบหนักๆ ที่แก้มแดง เลื่อนขึ้นอีกเล็กน้อยจูบซับที่หางตาปริ่มน้ำเบาๆ ร่างข้างใต้คล้ายจะเกร็งเล็กน้อยกับสัมผัสอ่อนโยนแบบนี้แต่ไม่นานก็ผ่อนคลายลงตามใจอีกฝ่าย ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงที่ข้างใบหูพร้อมกับโทนเสียงนุ่มนวล

 

“นอนพักเถอะ ฉันอยู่ข้างนายนี่แหละ”

 

 

 

แม้จะไม่ได้นอนดูหนังสนุกๆ อ่านนิยายน่าสนใจ หรือทานขนมอร่อยๆ สักชิ้น แต่ถ้าไม่สบายแบบนี้…แล้วมีคนของใจมาคอยดูแลข้างกายในวันที่อากาศเป็นใจแบบนี้? บางที…ก็คงดีเหมือนกัน

 

___________________________

 

แอ๊ะ! อพอลฟรอเรื่องแรกในชีวิตเลยค่ะ 5555555 ไม่ค่อยได้ชิปคู่นี้เท่าไหร่ แต่รีเควสมา เราก็จัดให้ค่ะ ><

หวังว่าจะฟินๆ หวานซึ้งนะคะ ฮาาา ช่วงนี้ฝนตกพอดีเลยนึกพล็อตแนวนี้ออก พี่พอลมาแนวละมุนละไมมากกกกกกกกกก อ๊ากกก อิจฉาแปะฟรอแปป ทำไมได้อพอลเวอร์ชั่นนี้ไป 55555555555

เอาเป็นว่าถ้าชอบก็คอมเมนต์บอกกันได้นะคะ แต่แบบว่าสั้นนิดนึง นึกดีเทลได้เท่านี้เอง งื้ออ

[Fic Yume 100 : Gary x Gilbert] Soul

Soul

Pairing : Gary x Gilbert

Type : AU fic

Warning : ระวัง งง ค่ะ แค่นี้จริงๆ 55555555

 

___________________________________________

 

 

เรื่องราว…มันเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น

 

วันที่ผมอายุ 23 ปี

 

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนั้น ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ก็เป็นเวลา 2 ปีมาได้แล้ว

 

เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเพียงในชั่วเสี้ยววินาที ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปอย่างมากมายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

 

ครั้งแรกผมกลัว…

 

ยามหลับตาเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ภาพในอดีตเมื่อตอนผมอายุ 23 ก็มักจะย้อนกลับมา ราวกับจะตอกย้ำความเลวร้ายและความโกลาหลที่เกิดขึ้นในเวลานั้น

 

ภาพซ้ำๆ ที่ฉายย้อนไปมาราวกับเทปที่ถูกบันทึกไว้ให้ฉายเพียงแค่ช่วงเวลาดังกล่าว

 

คอยหลอกหลอน แต่ลึกๆ มันไม่ได้น่ากลัว

 

…ยิ่งพอเกิดขึ้นเกือบทุกวัน มันก็ชินไปเสียแล้ว

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นเพียงความฝัน มันกลับไม่ใช่ความฝัน

 

……………

 

“กิลเบิร์ต ไปส่งของให้แม่ทีสิจ๊ะ”

 

“ครับผม”

 

ชายผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดขยับพลิ้วไปตามการขยับตัวของเจ้าของร่างที่ชะโงกหน้าตอบรับเสียงที่ไหว้วานเขา ฝ่ามือขาวเนียนในถุงมือที่กำลังนวดแป้งอยู่ชะงักลง ก่อนจะถูกถอดออกแล้วนำไปทิ้งถังขยะ ชายหนุ่มวานให้คนที่อยู่ใกล้กันรับช่วงแป้งที่นวดค้างไว้ และเดินออกจากครัวไป

 

ดวงตาสองสีกวาดมองของที่ตนต้องนำไปส่งตามหน้าที่ ฝ่ามือสองข้างไพล่หลังแก้เชือกที่มัดผ้ากันเปื้อนไว้ก่อนจะวางพาดไว้กับเก้าอี้ตัวใกล้ๆ กัน

 

“วันนี้มีสองกล่องเหรอครับ”

 

“ใช่แล้วล่ะ ของเจ้าเดียวน่ะ ใกล้ๆ นี่ด้วย”

 

“งั้นผมเอาจักรยานไปดีกว่า”

 

“ระวังตัวด้วยนะลูก”

 

กิลเบิร์ตส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์บางๆ รับเอากล่องขนมขนาดกลางสองกล่องมาถือไว้แล้วรุดออกจากร้านไป

 

ร้านขนมร้านนี้เป็นร้านของกิลเบิร์ตเอง นานๆ ครั้งที่แม่ของเขาจะเข้าร้านมาช่วยจัดการบ้างเป็นครั้งคราว อย่างเช่นวันนี้ที่เธอว่างจากงานประจำจึงเข้ามาช่วยงานที่ร้านตั้งแต่เช้า กิลเบิร์ตที่ปกติจะอยู่หน้าร้านจึงเข้ามาอยู่ในครัวแทน และแย่เสียหน่อยที่วันนี้คนส่งขนมของเขาดันลาป่วย

 

ดวงตาสองสีกวาดมองแผนที่ที่อยู่ในมือ บ้านที่เขาต้องไปส่งขนมอยู่ห่างจากร้านแค่สองป้ายรถเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นทางที่คุ้นเคยดีสำหรับกิลเบิร์ต ขนมสองกล่องถูกวางไว้ที่ตะกร้าหน้ารถอย่างดีก่อนที่เจ้าของจักรยานจะขึ้นควบและปั่นออกไป

 

บรรยากาศสบายๆ เหมือนเดิม ที่รถและคนไม่ได้พลุกพล่านมากช่วยให้เจ้าของร้านขนมรู้สึกปลอดโปร่ง สองขายังคงปั่นจักรยานเนิบช้า กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็มาหยุดอยู่ที่แยกไฟแดงก่อนเลี้ยวเข้าซอยเป้าหมาย

 

และเพราะทุกอย่างเหมือนเดิม แม้แต่ช่วงบ่ายคล้อยแบบนี้ ภาพๆ เดิมที่กิลเบิร์ตมักจะเห็นจึงสะท้อนเข้าสู่สายตา

 

ภาพดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ที่วิ่งออกมาจากฟุตบาทอีกฝั่งพุ่งตรงเข้ามากลางถนนยังเลนส์อีกเลนอย่างไม่ลังเล

 

ดวงตาสองสีเบิกขึ้น นัยน์ตามีแวววูบไหวก่อนจะสลดลง ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง กิลเบิร์ตก็ไม่เคยชินชากับภาพๆ นี้เลยแม้แต่น้อย แม้จะผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วก็ตาม

 

ว่ากันว่าดวงวิญญาณที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด แต่ต้องมาวนเวียนตายแบบเดิมนับไม่ถ้วน ตรงสถานที่เดิมแบบนี้คือคนที่คิดฆ่าตัวตาย ดวงวิญญาณจึงไม่ได้รับการปลดปล่อย

 

ถึงจะน่าเศร้าที่ดวงวิญญาณของเขาคนนั้นไม่สามารถไปเกิดได้ แม้จะอยากช่วยเหลืออย่างไร แต่กิลเบิร์ตก็ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ได้แต่มองดวงวิญญาณนั้นทำอย่างเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ถ้าหากมีเวลาว่างก็อาจมีแวะไปวัดเพื่อทำบุญให้บ้างก็เท่านั้น

 

เสียงลมหายใจหนักๆ ทอดถอนออกมาอย่างคนปลงไม่ตก แม้จะสามารถมองเห็นดวงวิญญาณแบบนี้มาได้ตั้งแต่ยังเด็ก วิญญาณรูปแบบต่างๆ ผ่านหูผ่านตามาก็มาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดสนใจอะไร แม้ช่วงแรกๆ จะตกใจไม่น้อยกับสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนี้ แต่พอเห็นเข้าทุกวันๆ ก็มีแต่ต้องทำใจให้ชิน

 

แต่อดยอมรับไม่ได้ว่ากับดวงวิญญาณที่แยกไฟแดงตรงนั้นมีบางอย่างที่แปลกออกไป

 

ไม่ได้น่ากลัว ดูอ่อนโยนอย่างแปลกประหลาด ที่สำคัญคือมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ชวนมอง

 

และที่น่าสงสัยกว่านั้นคือดวงหน้าของคนๆ นั้นดูไม่ใช่คนที่อยากจะฆ่าตัวตายเลยสักนิด

 

หลังจากส่งขนมเสร็จ กิลเบิร์ตตัดสินใจจูงจักรยานออกมาแทน ตอนนี้เขาหยุดอยู่ที่ริมฟุตบาทที่เดียวกับที่ดวงวิญญาณนั้นเคยพุ่งตัวออกไป ดวงตาต่างสีทอดมองพื้นถนนจุดที่ดวงวิญญาณนั้นหายไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ที่ตรงนั้นคงจะเป็นที่ที่เจ้าของร่างที่พุ่งออกไปจบชีวิตลง

 

“คุณครับ คุณ”

 

“เฮ้ย!!!”

 

แรงสะกิดที่ไหล่เบาๆ พร้อมเสียงเรียก ทำให้กิลเบิร์ตหลุดจากภวังค์หันไปตามต้นเสียง แต่แล้วภาพที่สะท้อนเข้าสู่สายตากลับทำให้หัวใจของกิลเบิร์ตแทบจะหลุดออกจากอก เผลอร้องลั่นออกไปอย่างดังจนคนที่เดินไปมาริมฟุตบาทพากันหันมามองเขาเป็นตาเดียว

 

ชายหนุ่มเรือนผมสีเงินเมื่อรู้ว่าถูกสายตาหลายคู่จับจ้องก็รีบผงกหัวขอโทษและบอกปัดว่าไม่มีอะไร และเมื่อพยายามทำตัวให้เป็นปกติให้มากที่สุดได้สำเร็จ จึงค่อยๆ หันกลับไปมองยังทิศทางที่เคยมี ‘บางสิ่ง’ เรียกเขาเมื่อครู่

 

ตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ ด้วยความงุนงง มอง ‘วิญญาณ’ ตรงหน้าไม่วางตา และที่น่ามหัศจรรย์ใจกว่านั้นคือดวงวิญญาณนั้นกำลังจ้องเขากลับเช่นกัน ราวกับต้องการจะพูดสื่อสารอะไร และถ้าจำไม่ผิด เมื่อไม่กี่วินาทีเมื่อครู่ ประโยค “คุณครับ คุณ” เมื่อครู่ ก็คงเป็นเสียงของวิญญาณตนนี้

 

ฝ่ามือที่ว่างควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหูแบบเนียนๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นและพูดเสียงเบา

 

“คุณ..รู้ได้ไงว่า…ผมเห็นวิญญาณ” ชายหนุ่มว่าตะกุกตะกัก

 

“ก็ผมเห็นคุณจ้องผมมา…นานแล้ว”

 

กิลเบิร์ตลอบกลืนน้ำลายลงคอแบบคนทำอะไรไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปีที่เห็นวิญญาณแล้วเคยได้สื่อสารกันขนาดนี้ ปกติวิญญาณแต่ละดวงไม่ได้มีพลังงานมากพอที่จะมาสื่อสารกับมนุษย์แบบนี้ แถมยังมาสะกิดไหล่ของเขายิกๆ แบบเมื่อกี้อีก มันแปลกเกินไปแล้ว!

 

ดวงตาต่างสีเหลือบมองดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ที่คล้ายๆ ของตนข้างขวาแวบหนึ่ง ความอ่อนโยนที่แฝงในดวงตาคู่นั้นอดจะทำให้หัวใจของกิลเบิร์ตกระตุกแปลกๆ ไม่ได้ แต่ก่อนที่จะปล่อยให้มีความรู้สึกแปลกๆ ไปมากกว่านี้ กิลเบิร์ตกลับมาตีหน้าจริงจังจ้องมองคน…ไม่ วิญญาณที่ยืนทำหน้าเจียมตัวใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม

 

“แล้วคุณเรียกผม..มีอะไรรึเปล่า”

 

‘เดี๋ยว นี่มันเป็นประโยคที่ควรถามเหรอ?’

 

ชายหนุ่มเจ้าของร้านขนมครุ่นคิดกับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจจนเผลอกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่นขึ้นอย่างลืมตัว วิญญาณชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ คล้ายว่าจะสังเกตเห็นได้จึงส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วง

 

“คุณไม่สบายรึเปล่า”

 

“เปล่าๆๆ ! ผมสบายดีมากๆ !”

 

เสียงทุ้มเผลอตอบออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวจนคนใกล้เคียงหันมามองเขาอีกครั้ง จักรยานที่ประคองไว้อีกมือจวนจะหลุดออกจากมือเพราะความตกใจ แต่กิลเบิร์ตยังคว้าได้ทันก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้กับคนรอบข้างและทำท่าคุยโทรศัพท์ต่อ

 

“ถ้าคุณไม่มีอะไรผมจะไปแล้วนะ”

 

หนุ่มตาสองสีตัดบททันที รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเริ่มไม่มีสติแปลกๆ จะพูดอะไรก็เหมือนติดอยู่ที่ริมฝีปาก สิ่งที่อยากจะพูดกลับไม่ได้พูด แต่ที่พ่นออกมากลับเป็นคำที่ทำให้ตัวเองดูป้ำๆ เป๋อๆ ยังไงก็ไม่รู้

 

“อา..จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นคุณจ้องผมมาตลอดก็เลยนึกว่ามีอะไรรึเปล่า”

 

ร่างสูงใหญ่ผมดำยิ้มละมุนออกมา กิลเบิร์ตลอบมองเสี้ยวหน้าอบอุ่นนั้นแล้วกะพริบตาปริบๆ มันก็จริงที่เขามักจะมองมาที่วิญญาณดวงนี้ทุกครั้งเวลาที่ผ่านมาแยกไฟแดงตรงนี้ แต่ทุกครั้งก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมองกลับมา ก็เลยนึกว่าคงเป็นวิญญาณที่วันๆ เอาแต่มาตายที่เดิมๆ ไม่น่าจะสนใจมนุษย์อย่างเขา

 

“คุณฆ่าตัวตายเหรอ” คำถามที่สงสัยมาตลอดลั่นผ่านริมฝีปาก แต่เหมือนคนถามเองก็ไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะโค้งหัวเหมือนขอโทษ

 

วิญญาณหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ ยิ่งสร้างความสงสัยให้กิลเบิร์ตเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ได้ฆ่าตัวตาย แล้ววิญญาณจะหลุดออกมาจากร่างเฉยๆ แล้วก็วนเวียนตายตรงนี้ซ้ำๆ เป็นเวลา 2 ปีทำไม คิ้วเรียวขมวดมุ่นแต่ก็ยืนนิ่งรออีกคนกล่าวเพิ่ม

 

“ผมจำอะไรไม่ค่อยได้ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ตรงนี้ แต่เหมือน…ไม่ได้อยากตาย…มั้งนะ”

 

คนฟังพยักหน้ารับ พลางพยายามนึกภาพตามให้ออก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ค่อยเข้าใยอยู่ดี “งั้นจำชื่อตัวเองได้ไหม?”

 

รอยยิ้มอบอุ่นฉายวาบบนใบหน้าอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ทำเอาหัวใจของกิลเบิร์ตกระตุกวูบ ดวงหน้าติดหวานหันเหสายตาไปทางอื่น

 

“แกรี่”

 

สิ้นคำตอบ มนุษย์ผู้เห็นวิญญาณพลันต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง เมื่อโทรศัพท์ที่ยกแนบใกล้หูกลับสั่นขึ้นมา ท่าทางตลกๆ รอบที่สามทำให้แกรี่ที่ยืนใกล้ๆ หลุดขำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะได้รับสายตาดุๆ กลับมาจากกิลเบิร์ต แล้วเจ้าตัวก็รีบรับโทรศัพท์

 

“ฉันต้องกลับแล้ว ไว้..เจอกันใหม่”

 

‘ห๊ะ? นัดเจอกับผีใหม่เนี่ยน่ะนะ?’

 

หนุ่มผมเงินตีหน้างงกับตัวเองที่เผลอพูดแบบนั้นออกไป แต่ครั้นพอจะปฏิเสธ กลับได้รับสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูมีความสุขผิดกับวิญญาณที่ต้องทนทรมานกับการไม่ได้เกิด ประโยคปฏิเสธจึงกลืนลงท้องไป สิ่งที่กิลเบิร์ตทำจึงเป็นเพียงการยิ้มตอบบางๆ แล้วจูงจักรยานกลับร้าน

 

 

 

สองอาทิตย์ผ่านไปนับตั้งแต่ที่กิลเบิร์ตเจอวิญญาณที่ชื่อว่าแกรี่

 

จากที่เคยยืนคุยกันตรงริมฟุตบาทมาสามสี่วันแรก ตอนนี้กิลเบิร์ตได้รู้ว่าจริงๆ แล้วแกรี่สามารถเดินไปไหนมาไหนก็ได้ในอาณาบริเวณนี้ประมาณ 1 กิโลเมตร และที่สำคัญคือไม่ต้องทำท่าว่าตายวนเวียนทุกรอบแบบไม่รู้จบด้วย แต่แค่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เวลาที่คาดว่าน่าจะเป็นเวลาตายจริงๆ ราวกับว่าร่างกายที่ดูโปร่งแสงนั้นถูกบังคับจากที่ใดสักแห่ง ให้ไปหยุดยืนที่ริมฟุตบาท ก่อนจะเป็นภาพที่กิลเบิร์ตคุ้นเคยดี

 

ไม่รู้ทำไม แม้จะเห็นมาตลอดจนถึงตอนนี้ แต่หัวใจกลับรู้สึกไม่ชิน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าวิญญาณดวงนี้ไม่เหมือนดวงอื่น ไม่ใช่ผีปกติที่ฆ่าตัวตายและต้องมาวนเวียนแบบนี้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าคนๆ นี้ยังมีชีวิตอยู่

 

ผ่านมาได้สิบนาทีหลังจากภาพบาดตาบาดใจของกิลเบิร์ตถูกฉายให้เห็น ร่างสูงใหญ่ก็กลับมานั่งข้างๆ เขาที่จุดรอป้ายรถเมล์ กิลเบิร์ตยิ้มบางให้วิญญาณข้างกาย ส่วนแกรี่ก็ยิ้มตอบและทำท่าเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

แกรี่บอกกับกิลเบิร์ตว่าตัวเองก็ไม่ค่อยรู้ตัวว่าทำไมต้องไปอยู่ตรงนั้น ทุกอย่างมันเหมือนภาพตัด เขามีความทรงจำที่ว่าได้นั่งคุยกับกิลเบิร์ตและมองเห็นนั่นนี่ตามแยกไฟแดง แต่พอถึงเวลาหนึ่งหรือก็คือช่วงที่เขาวนตายตรงนั้นก็จำอะไรไม่ได้ อะไรที่ทำค้างอยู่ก็เหมือนตัดไปทันที ก่อนจะจบที่เขายืนนิ่งเฉยตรงริมฟุตบาท

 

และกิลเบิร์ตก็ได้รู้อีกว่าพอตกกลางคืน แกรี่ก็ยังสามารถพักผ่อนได้เหมือนมนุษย์อีก แต่ถ้าไม่ได้นอนจริงๆ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย ง่วง เบื่ออะไร เดินวนไปวนมาทั้งวันทั้งคืนก็ยังได้

 

ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันไป กิลเบิร์ตพยายามถามถึงอดีตของอีกคนที่พอจะจำได้ แต่เหมือนแกรี่จะจำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนนี้การได้มาพูดคุยกับแกรี่เป็นเหมือนเรื่องปกติของกิลเบิร์ตไปเสียแล้ว งานที่ร้านก็ปล่อยให้ลูกจ้างทำกันไป แล้วช่วงบ่ายคล้อยจนตกเย็นกิลเบิร์ตจะเอาตัวเองมาทิ้งตรงแยกไฟแดงนี่เสมอ

 

อาจเพราะเห็นมาตลอด 2 ปี อาจเพราะได้เริ่มพูดคุยกัน เส้นความผูกพันบางๆ ก่อขึ้นในจิตใจของกิลเบิร์ต รวมถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่คิดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้สัมผัส แต่กลับ…เกิดขึ้นกับวิญญาณที่ไม่ได้ผุดเกิดตนนี้

 

ตกเย็นจนท้องฟ้าเป็นสีส้มแดง แยกไฟแดงเล็กๆ ตรงนี้พูดคนเริ่มบางตา ฟุตบาทที่เคยคลาคล่ำไปผู้คน ถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถน้อยใหญ่ก็แทบจะไม่มีแล้ว ตอนนี้จุดรอรถเมล์จึงมีเพียงหนึ่งมนุษย์และหนึ่งวิญญาณนั่งอยู่

 

“นี่กิลเบิร์ต…”

 

“หืม..อะ!”

 

สัมผัสร้อนจางๆ ประกบเข้าที่ริมฝีปากของกิลเบิร์ต ดวงตาต่างสีเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ ครั้นจะย้ายใบหน้าหนีกลับถูกเรียวนิ้วแกร่งประคองที่คางไว้ให้รับสัมผัสมากขึ้น จนสุดท้ายกิลเบิร์ตก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกลึกๆ ในใจตนเองได้

 

…………………………

 

หลังมื้อค่ำจบลง กิลเบิร์ตรีบพาตัวเองอาบน้ำเข้าห้องนอนแทบจะทันที รู้สึกจิตใจว้าวุ่นไปหมด อาหารที่กินไปเมื่อครู่ก็แทบไม่รู้รส ใครถามอะไรก็แทบไม่เข้าสมอง มันมึนเบลอไปหมด

 

ก่อนจากกับแกรี่หลังจากที่โดนขโมยจูบแรก เรื่องราวที่ได้รู้จากปากของแกรี่เล่นทำเอาหัวใจของกิลเบิร์ตแกว่งไม่เบา และวันนี้กิลเบิร์ตตั้งใจจะรีบเข้านอนเพื่อทำบางอย่างในสิ่งที่เขาปฏิเสธมันมาตลอด

 

ความฝันที่มันไม่ใช่เพียงความฝัน

 

ภาพเหตุการณ์ที่คอยหลอกหลอนหลังจากอุบัติเหตุของตนเองหลังฟื้นขึ้นมา

 

การย้อนเข้าไปในโลกๆ หนึ่งที่เหตุการณ์ตอนนั้นได้ 8 นาที

 

ยานอนหลับหนึ่งเม็ดถูกส่งเข้าปาก กิลเบิร์ตคิดว่ารอบนี้เขาจำเป็นต้องใช้ และไม่นาน เมื่อล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ประตูสู่โลก 8 นาทีก็เปิดต้อนรับเขา

 

 

ที่โลกนี้มันก็ยังคล้ายๆ โลกปัจจุบันเดิม ตอนที่กิลเบิร์ตเข้ามาได้แรกๆ เขาได้ลองทำนู่นทำนี่ไม่น้อย และพบว่ามันไม่ส่งผลอะไรกับปัจจุบัน แต่มันจะมีผลกับอีกโลกที่หลุดไปไหม…ก็คงจะเป็นอย่างนั้น และถ้ากิลเบิร์ตจำไม่ผิด ทุกครั้งที่หลุดมาที่นี่เขาไม่เคยสักครั้งที่จะยอมมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะตื่นขึ้นมา

 

ภาพที่รถยนต์คันที่เขาขับ พยายามหักหลบสิ่งที่วิ่งตัดหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทัน เขาชนกับอะไรบางอย่างนั้น และตัวรถที่ยังพุ่งไปชนกับเสาไฟข้างทาง

 

ตอนนี้กิลเบิร์ตได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาชนเมื่อ 2 ปีก่อน ก็คือร่างของแกรี่ที่วิ่งเข้ามาหมายจะช่วยลูกแมวที่วิ่งมากลางถนน

 

นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้ผ่านมาได้เกือบ 1 นาทีแล้ว กิลเบิร์ตรีบวิ่งไปยังร้านขนมของตนเอง ก่อนจะเห็นรถยนต์คันเดิมที่จอดสนิทอยู่หน้าร้าน

 

ต่อให้ในโลกปัจจุบันของเขาจะไม่สามารถช่วยแกรี่ให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อยก็ขอไถ่บาปที่โลกนี้ ให้อีกคนได้มีชีวิตอยู่ต่อ

 

กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ถูกเขียนแบบลวกๆ ในนั้นมีคำเตือนแบบที่นักดูดวงชอบทำนายกัน กิลเบิร์ตไม่ได้บ้าดวง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นไม่เชื่อเลย ถ้าหากมีใครมาเตือนก็พอฉุกใจคิดบ้าง

 

‘การเดินทางวันนี้ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ระวังโดยเฉพาะสัตว์สี่ขา’

 

อย่างน้อยก็ภาวนาว่าตัวเองที่โลกนี้จะเชื่อได้บ้าง หลังจากที่เหน็บกระดาษแผ่นเล็กเข้ากับที่ปัดน้ำฝนหน้ารถ กิลเบิร์ตก็วิ่งกลับไปยังแยกไฟแดงอีกครั้ง ดีที่ว่ามันไม่ไกลกันมาก วิ่งไปวิ่งกลับใช้เวลาเกือบ 5 นาทีเท่านั้น และตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 นาที

 

ร่างคุ้นเคยในชุดแบบเดิมที่กิลเบิร์ตเห็นอยู่ทุกวี่วันเดินออกมาจากร้านกาแฟ ใบหน้านั้นดูสดชื่นจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย และมันก็ไม่ใช่จริงๆ เจ้าของเส้นผมสีเงินชุ่มเหงื่อยืนหอบอยู่สักพัก ก่อนจะเหลือบไปเห็นรถยนต์ของตนเริ่มใกล้เข้ามา พอหันสายตากลับมาข้างหน้าอีกรอบก็พบกับลูกแมวที่วิ่งออกมาจากข้างทาง

 

ฝั่งที่รถกิลเบิร์ตขับมาคือไฟเขียว เพราะฉะนั้นเลนฝั่งนี้จึงปลอดรถ

 

หนุ่มจากอีกโลกนึกขอบคุณที่ตัวเองในโลกฝั่งนี้ยอมเชื่อคำเตือน เพราะเหมือนว่าความเร็วรถจะไม่ได้มากเท่าตอนที่เขาขับในตอนนั้น สองขารีบวิ่งไปตามทาง เมื่อเห็นว่าร่างของแกรี่เริ่มพุ่งออกไปด้านหน้าแบบเดียวที่เขาเห็นในโลกของตัวเอง

 

ร่างกายของกิลเบิร์ตรีบพุ่งออกไปในทิศทางเดียวกับแกรี่โดยไม่ต้องคิด แกรี่ที่พยายามคว้าลูกแมวเอาไว้ดูเหมือนจะไม่ทันมองรถที่กำลังวิ่งมาของเขาเลยสักนิด

 

เสียงเหยียบเบรกกะทันหันดังเอี๊ยดลั่นถนน แกรี่ที่เหมือนจะคว้าลูกแมวได้สำเร็จ แต่ขาทั้งสองข้างเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ จนร่างกายถลำไปเบื้องหน้า ดวงหน้ามีแววตกใจไม่น้อย เพราะในอีกไม่กี่เมตรร่างของเขาจะปะทะกับรถยนต์สีดำวาว

 

แต่แล้วท่อนแขนแกร่งกลับสัมผัสได้ถึงแรงฉุดกระชากจากเบื้องหลัง ร่างกายที่คาดว่าจะถลาไปเบื้องหน้ากลับถูกดึงกลับมาข้างหลังอย่างแรง โดยที่ทับตัวใครอีกคนเอาไว้ด้วยก็ไม่รู้ พร้อมกับที่หูของเขาได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงนาฬิกาเตือน

 

แต่เมื่อตั้งสติและหันหลังกลับ กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างของใคร ไม่มีเจ้าของสัมผัสอบอุ่นที่มาฉุดกระชากเขาให้หลุดพ้นจากความตายตรงหน้า

 

“คุณครับ! เป็นอะไรไหมครับ!”

 

เสียงทุ้มหนึ่งดังขึ้นมาอย่างลนลาน แกรี่หันใบหน้ากลับมามองต้นเสียงก่อนจะสบกับสายตาต่างสีตรงหน้าที่มองเขาอย่างเป็นห่วง ฝ่ามือเนียนพยายามจับต้องสำรวจไปทั่วตัวของแกรี่ ที่น่าแปลกคือสัมผัสอบอุ่นนี้คล้ายกันกับฝ่ามือที่มาช่วยเขาเมื่อครู่ แต่ก่อนจะได้นึกอะไรไปมากกว่านั้น คนผมเงินตรงหน้ารีบคะยั้นคะยอให้เขาตามไปโรงพยาบาลด้วยกัน

 

จะอะไรก็ตาม…แต่แกรี่นึกขอบคุณไม่น้อยกับสิ่งที่ช่วยเขาไว้ อาจเป็น…ดวงวิญญาณใจดีดวงหนึ่งก็ได้มั้ง

 

……………………….

 

สามเดือนผ่านไปนับตั้งแต่ที่กิลเบิร์ตได้เข้าไปในโลกอีกโลก แม้จะยังมีบ้างบางครั้งที่เขายังหลุดเข้าไปในโลกนั้นบ้าง แต่มันไม่ได้ถี่เท่าแต่ก่อนแล้ว จนกิลเบิร์ตแทบจะลืมว่าเคยย้อนเข้าไปได้ ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยสำหรับเขา

 

และเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วเช่นกันที่เขาไม่เจอวิญญาณของแกรี่ที่แยกไฟแดงแล้ว แม้จะรู้สึกใจหายในช่วงแรก และรู้สึกเป็นห่วง แต่เขาก็ไม่รู้วิธีที่จะได้เจออีกคน(?) บางที…บ่วงฆ่าตัวตายนั้นอาจจะสิ้นสุดแล้วก็ได้ ไม่ต้องมาวนเวียนตายซ้ำตายซาก วิญญาณของแกรี่อาจจะได้ไปเกิดแล้ว

 

‘จะลาซักหน่อยก็ไม่มี’

 

กิลเบิร์ตนึกเซ็งๆ กับตัวเองในใจ ในมือที่ประคองหลอดดูดกาแฟอยู่ถูกจ้วงซ้ำเข้าไปในแก้วเพื่อระบายอารมณ์ขุ่นๆ ของตัวเอง เขาเองก็ยังไม่ได้เอาคืนที่แกรี่มาขโมยจูบของตัวเองเลย เพราะพออีกวันที่ไปเจอกัน แกรี่ก็ดันเอาเรื่องนั่นนี่มาเล่าจนเขาลืมเรื่องที่จะมาเอาคืนไปหมด

 

และก็เป็นแบบนั้นทุกวันจนวันหนึ่งที่แกรี่หายไป

 

เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังขึ้นเมื่อมีคนเดินเข้ามา กิลเบิร์ตหลุดออกจากห้วงอารมณ์หงุดหงิดของตนเองและเตรียมพร้อมรับลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา

 

“ยินดีต้อนรั–” เจ้าของร้านนิ่งค้างสนิท เสียงขาดหายเข้าไปในลำคอเมื่อได้เห็นลูกค้าที่เข้ามาในร้านของตน

 

ร่างสูงใหญ่ที่ดูกำยำ เส้นผมสีดำสนิท ดวงหน้าดูอ่อนโยนไม่มีพิษภัย ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์คู่เรียวคม รอยยิ้มละมุนละไมแบบที่เคยเห็นเมื่อช่วง 2-3 เดือนก่อน

 

“แกรี่…”

 

“หืม?”

 

ลูกค้าของร้านเอียงคอมองหนุ่มผมเงินที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยความสงสัย หูของเขาไม่ได้ฝาดแน่ๆ และตอนนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกคนคงจะเผลอเรียกชื่อเขาออกมา เพราะดวงหน้าที่แดงเรื่อจางๆ พร้อมกับสายตาที่หลุบลงด้วยความอาย

 

ไม่รู้ทำไม แกรี่รู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านี้ มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกับคนๆ นี้มาก่อนที่จะหลับไป แต่ทำไมกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผูกเกี่ยวอยู่ในใจ จะให้อธิบายออกมาก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร เหมือนมีอะไรบางๆ มาขวางกั้นเขาเอาไว้จนมันดูคลุมเครือ

 

แต่ความรู้สึกที่ก่อในใจ…จะว่าถูกชะตา? หรือลึกๆ คือผูกพัน? ก็ไม่อาจตอบได้มันชัดเจน

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน…แกรี่รู้สึกว่าคนตรงหน้ามีบางอย่างที่ดึงดูดเขาไม่น้อย และเขาจะต้อง…ทำความรู้จักอีกคนให้มากกว่านี้

 

“อา..ขอโทษครับ คือ เอ่อ จะรับอะไรดีครับ”

 

คนผมเงินกลับมามีท่าทางปกติ เขาสบมองใบหน้าหล่อละมุนอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะหลุบมองใบเมนูที่อยู่ตรงหน้าแล้วจัดการเคลื่อนมันไปด้านหน้าให้กับลูกค้าตรงหน้า แม้จะยังสงสัยนิดหน่อยว่ามันเป็นไปได้ยังไง แต่ตอนนี้เขาควรทำหน้าที่ไปก่อน อะไรอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

 

และที่สำคัญ…ถ้าคนตรงหน้าคือแกรี่คนเดิมคนนั้นจริงๆ ลึกๆ ส่วนหนึ่งในใจกิลเบิร์ตรู้สึกว่าเขาจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ แต่ต่อให้ไม่กลับมา เขาก็จะตามหาจนเจอให้ได้ จะต้อง…หาให้เจอให้ได้

 

หัวใจของตัวเองที่มันหลุดหายไป

 

“แพนเค้กมีไหมครับ?”

 

________________________________________________

 

ลงได้ทันเวลาตี 3 พอดีเลยค่ะ โอ้โหห งานอู้มากกกก ปั่นเอาตอนเกือบไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายยย

อย่างที่บอกไว้ด้านบนนะคะว่าระวังงง ไม่รู้จะงงกันไหม 5555555555 วิสจะมาไขความข้องใจให้ตรงนี้นิดหน่อยแล้วกันค่ะสำหรับใครที่งง

คิดว่าก็เกือบจะหลุดธีม /อ้าว? จริงๆ แล้วพี่รี่ไม่ได้ตายนะคะ เขาอาการโคม่าเหมือนเป็นเจ้าชายนิทรา ทีนี้วิญญาณก็เลยหลุดออกมาและวนเวียนเหตุการณ์รถชนอะไรทำนองนี้ จนเหมือนว่าเขาฆ่าตัวตาย จริงๆ ก็เปล่าค่ะ ส่วนโลกที่กิลกิลเข้าไปช่วยก็ตามสเตปธีมนะคะ ย้อนกลับไปและแฮปปี้เอนด์ไปค่ะ อันนั้นพี่รี่รอดชัวร์ๆ และจะอะไรยังไงกับกิลกิลทางนั้นไหมก็ไม่รู้นะคะ อิอิ ส่วนทางนี้ก็…ศึกษากันต่อไปเนอะ

เอาเป็นว่าถ้าใครมีอะไรสงสัย ก็ถามมาได้นะคะ ขาดตกบกพร่องอะไร เพราะแต่งตอนดึกๆ แบบนี้มันเบลอจริงๆ ค่ะ ไม่ได้ตรวจดูคำผิดด้วย ใครชอบก็เมนต์บอกกันได้นะคะ อิอิ ><

 

 

 

[Fic Yume 100 : Kairi x Navi] Dream & True

 

Yume100_Challenge : Dream & True

Pairing : Kairi x Navi

Warning : เอวี่ติงจิงเกอแมว ล้วนเป็นเพียงการมโนของเรานะคะท่านผู้โชมมมมมมม นอกจากนี้อาจมีเนื้อหาสปอยในเนื้อเรื่องบทที่ 9 กับ 10 แบบคร่าวๆ และบางส่วนค่ะ โปรดใช้จักรยานในการอ่านนะคะ

 

_____________________________________________

 

 

เมื่อมีแสงสว่างก็ย่อมมีความมืด

 

ยิ่งแสงสว่างจ้ามากเท่าไหร่ ความมืดก็จะยิ่งเด่นชัดเช่นกัน

 

 

 

ความสงบสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลังจากถูกปีศาจระราน บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงอดีตที่มีไว้เพียงเล่าขานเท่านั้น หลังจากการต่อสู้ทั้งทางร่างกายและจิตใจมาอย่างเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ แสงสว่างกลับมาอีกครั้ง ความเลวร้ายหายไป ท้องฟ้าสีครามที่แสงอาทิตย์สาดส่องเจิดจ้าดั่งประกายแห่งความหวังและความสุข สายลมอ่อนพัดโชยเรียบนิ่งให้ได้กลิ่นดินและต้นหญ้าที่สดชื่น

 

สีสันที่เคยขาดหาย เสียงหัวเราะแห่งความสุขและความยินดี รอยยิ้มแห่งความหวัง ทุกอย่างล้วนกลับมาอีกครั้งในโลกใบนี้ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวและความสิ้นหวังดังแต่ก่อน สิ่งเหล่านั้นล้วนถูกปัดเป่าให้หายไป มีเพียงความสุขที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวแขนกุด ตามแขนเสื้อประดับด้วยเครื่องประดับสมเกียรติเล็กน้อยกำลังยืนพิงผนังนอกปราสาทขนาดใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอยปล่อยให้สายลมข้างตัวพัดผ่านไปเงียบๆ

 

เหมือนนานมาแล้วที่ไม่ได้อยู่อย่างสงบๆ แบบนี้

 

เขาชอบการอยู่คนเดียว เบื่อเวลาที่จะต้องอยู่ใกล้ใครมากๆ หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ไม่ถนัดที่ต้องคบค้าสมาคมกับใคร แบบนั้นมันน่ารำคาญสิ้นดี และภายในโถงปราสาทที่เขากำลังยืนพิงอยู่ กำลังมีสิ่งมีชีวิตมากมายที่ว่านั่นอยู่เต็มไปหมด

 

ในระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะกลับไปพักดีไหม กลับมีเสียงเรียกที่คุ้นหูดีดังมาจากข้างหลัง ขาที่กำลังจะก้าวออกไปพลันหยุดชะงักลงพร้อมกับรับรู้ได้ถึงสัมผัสหนักๆ ที่วางเกยบนไหล่เขาเสียอย่างนั้น

 

“นายจะไปไหน”

 

เสียงทุ้มติดแหบเล็กน้อยเอ่ยขึ้นในระยะใกล้ ไคริอยากจะสะบัดไหล่ออกแล้วเดินเลี่ยงมา ถ้าไม่ติดที่ว่าอีกคนกลับเอาแขนวางพาดไว้ทั้งแขนก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของตัวเองวางทับมาตาม ไคริเหล่มองเสี้ยวหน้าที่สะท้อนเข้าทางหางตาแบบหน่ายๆ ก่อนจะปล่อยให้อีกคนทำตามใจแล้วเอ่ยถามเสียงขุ่น

 

“มีอะไร”

 

คนผมสีแดงสดดั่งทับทิมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตามองไปเบื้องหน้าที่เป็นสวนดอกไม้สวยงาม ในหัวคิดถึงใครบางคน แต่ก่อนจะเตลิดปล่อยความคิดไปไกลกว่านั้นเขาก็เอ่ยสิ่งที่ตั้งใจจะมาพูด

 

“นายควรเข้าไปข้างในนะเจ้าชายไคริ”

 

“อดีต…เจ้าชาย”

 

ไคริสวนกลับทันควัน ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงตวัดมองคนข้างหลังแบบฉุนๆ นึกอยากจะตะบันหน้าที่ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้นี่เสียเต็มอก

 

“ฮะๆๆ นายนี่เครียดตลอดเลยนะ ตอนนี้ทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว นายควรปล่อยวางบ้าง นายมีพวกเราอยู่นะ”

 

เจ้าชายแห่งแดนอัศวินว่าน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาสีม่วงสดมองใบหน้าของคนที่อายุน้อยกว่าไม่วางตาราวกับจมองทะลุไปให้ถึงจิตใจของอดีตเจ้าชายดินแดนที่ล่มสลายอย่างไรอย่างนั้น แต่ต่อให้เขาจะพยายามมากเท่าไหร่ คนที่คนๆ นี้จะยอมเปิดใจให้เข้าไปได้อย่าทะลุปรุโปร่งคงไม่ใช่เขา และเจ้าชายแดนอัศวินเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะเข้าถึงใจของเพื่อนร่วมทีมตรงหน้าด้วยเช่นกัน

 

ท่อนแขนเรียวพร้อมใบหน้าติดหวานผละออกจากไหล่กว้าง จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เหมือนเดิม ปรายตามองคนที่ยังยืนนิ่งเฉยไม่ทุกข์ร้อนด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย

 

ถ้าอาร์วีไม่โดนเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรนี้ขอมา เขาคงไม่ยอมมาหรอก

 

“นี่ อย่าลืมซะล่ะ หน้าที่ของนายต่อจากนี้” อาร์วีว่าน้ำเสียงจริงจังอีกรอบ คราวนี้เรียกให้คนที่ดูเฉยเมยหันกลับมามองได้ในที่สุด “ต่อจากนี้นายมีคนที่ต้องปกป้องดูแล ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ที่สำคัญ นายควรอยู่ข้างเขาตลอดไม่ใช่เหรอ?”

 

รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนใบหน้าของอาร์วี คนฟังเบิกตากับประโยคนั้นก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วภาพของใครบางคนที่ได้พบเจอเมื่อไม่นานมานี้ก็ผุดเข้ามาในสมองจนต้องเผลอคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

อาร์วียืนเท้าเอวมองอีกคนที่คล้ายว่าจะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองเรียบร้อยอย่างคนไม่รู้จะทำอะไรต่อ สิ่งที่เขาถูกไหว้วานให้มาทำก็เหมือนจะเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาควรกลับเข้าไปในโถงปราสาทที่กำลังจัดงานสำคัญอยู่

 

“ไปด้วยกันเลยไหมไคริ?”

 

 

 

ภายในท้องพระโรงขนาดกว้าง ไคริกวาดสายตามองด้วยความไม่คุ้น นานแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศโอ่โถงขนาดนี้ ถึงเขาจะแยกออกมาจากแขกทั่วไปเพราะถือเป็นแขกกิตติมาศักดิ์สำหรับเจ้าหญิงแห่งทรอยแมร์ แต่พื้นที่โดยรอบที่แออัดไปด้วยแขกต่างแดนไม่ได้ทำให้โถงนี้ดูคับแคบแม้แต่น้อย

 

“นี่ไคริ”

 

“อะไร”

 

ไคริถูกคนผมแดงสะกิดอีกครั้ง ตอนนี้ทั้งสองรวมอยู่ในงานพิธีสำคัญจึงพูดเสียงดังไม่ได้ อาร์วีจึงต้องสะกิดแขนอีกคนพลางขยับเข้ามาเสียใกล้จนไคริรู้สึกรำคาญชอบกล

 

“ถึงจะเป็นอดีตเจ้าชายก็เถอะ แต่ตอนแรกนายก็มีแหวนราชวงศ์อยู่ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้มันไปไหนน่ะ?” อาร์วีลอบสังเกตไปตามนิ้วเรียวทั้งสิบของไคริ แต่ไม่พบเห็นแหวนบนนิ้วสักวง จะว่าทำเป็นสร้อยอีกคนก็ไม่ได้ห้อยอะไรไว้ที่คออีกเช่นกัน

 

สำหรับเจ้าชายอย่างพวกเขา แหวนราชวงศ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพกติดตัวตลอดเวลา เผื่อยามฉุกเฉินที่เกิดอันตราย อย่างเช่นตอนที่มีปีศาจกินฝันบุกโจมตี แหวนประจำตัวเป็นสิ่งเดียวที่ปกป้องรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้

 

“ตอนนี้ไม่มีปีศาจกินฝันแล้วสักหน่อย ทำไมจะต้องสนใจมันด้วย?” ไคริตอบหน้าตาย พลางยกมือขึ้นกอดอก

 

คนถามคิ้วกระตุก รู้สึกฉุนๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

“แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็อาจมีอันตรายที่เราไม่รู้เกิดขึ้นก็ได้นะคะ” แว่วเสียงหวานจากเจ้าหญิงที่นั่งอีกข้างของไคริเอ่ยขึ้น เธอผงกหัวเล็กน้อยเป็นการขอโทษที่แทรกบทสนทนา แต่สองหนุ่มไม่ได้ว่าอะไร

 

คนถูกถามหัวเราะในลำคอ ยักไหล่ขึ้นไม่แยแส ยกยิ้มที่มุมปากตามแบบที่เคยทำจนอาร์วีรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา ก่อนที่สงครามขนาดย่อมจะเกิด ไคริชิงตัดหน้าเอ่ยขึ้นมาก่อน

 

“ก็ในเมื่อมันเป็นของสำคัญ มันก็ควรอยู่กับคนสำคัญไม่ใช่รึไง?”

 

ไคริแหงนหน้ามองบัลลังก์ที่อยู่สูงออกไปเล็กน้อย ที่นั่นมีร่างของกษัตริย์องค์ใหม่แห่งราชวงศ์ความฝันกำลังนั่งอยู่ เส้นผมสีน้ำตาลคล้ายคลึงกับของเจ้าหญิงที่นั่งข้างกายเขา ดวงตาสีครามหม่นดูกลมโตที่กำลังทอดสายตาอ่อนโยนพร้อมระบายยิ้มให้กับเหล่าขุนนาง เจ้าชายต่างแดนหรือแม้แต่ชาวเมืองที่อยู่ในท้องพระโรงนี้อย่างเป็นกันเอง

 

คนถูกจ้องบนบัลลังก์ราวกับจะรู้ถึงสายตาที่มองมาอย่างแตกต่าง ดวงตาสีครามหม่นหันมายังทิศทางที่นั่งแขกพิเศษ จนปะทะสายตาเข้ากับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอมแดงที่จ้องมองอยู่ก่อน และสายตานั้นไม่คิดจะถอนออกไปเลยสักนิด จนคนที่นั่งบัลลังก์อยู่ต้องละสายตาออกมาแทน

 

กษัตริย์หนุ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับสายตานั้น นิ้วเรียวค่อยๆ เลื่อนไปสัมผัสแหวนสีหม่นที่อยู่บนนิ้วมือข้างซ้ายอย่างลืมตัว

 

ไม่ใช่แหวนราชวงศ์ทรอยแมร์ เพราะวงนั้นอยู่กับน้องสาวของเขา

 

ไม่ใช่แหวนที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป

 

แต่เป็นแหวนของคนพิเศษ ที่ต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษ

 

………..

 

ไคริลืมตาตื่นขึ้นในยามเช้า แม้จะไม่มีภารกิจใดๆ แต่การตื่นมาตั้งแต่เช้าก็ติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ไม่วายที่มือหนาเผลอควานหาอุปกรณ์คู่ใจอีกสองกระบอกที่ตนซุกเอาใต้หมอน เมื่อพบว่ามันยังอยู่ดีเจ้าตัวก็โล่งใจ

 

เด็กหนุ่มนึกย้อนไป…ทุกอย่างมันดูเรียบง่ายและธรรมดาเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ราวกับเป็นความฝันมากกว่า และเป็นฝันดีจนเขาไม่อยากจะตื่นจากวังวนความฝันนั้นสักนิด นี่คงเป็นสาเหตุช่วงตอนปีศาจกินฝันบุก ที่ทำให้ชาวบ้านธรรมดาสลบไสลไม่ได้สติ เพราะไม่อาจหลุดพ้นจากพลังของปีศาจกินฝันได้ ก็เพราะฝันมันดีมากเกินไปจนไม่อยากจะตื่น

 

ร่างสูงผอมขดตัวกับเตียง ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันคือความจริง…

 

 

ความจริงที่ว่าก้อนปุยขาวได้หายไป

 

 

เจ้าพ่อบ้านของยัยทรอยแมร์ที่ดูน่ารำคาญนิดหน่อยในสายตาเขา ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว

 

ในขณะที่นอนปล่อยให้ความคิดต่างๆ นานาไหลผ่านสมองไป เสียงจากหน้าห้องดังขึ้นเรียกสติเจ้าของห้องให้กลับมาดังเดิม ไคริยกมือขึ้นลูบหน้าลวกๆ ก่อนจะนั่งพิงหัวเตียงพร้อมกับเอ่ยอนุญาตคนที่ยังคงพยายามเรียกเขาจากข้างนอก

 

“เอ่อ..ขอโทษ กระ– เอ่อ ผมคงทำให้ ท่านไคริ ตื่นสินะ…”

 

“รู้ตัวก็ดี”

 

คนมาใหม่สะอึกเล็กน้อย ร่างสูงเพรียวยืนก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิดเมื่อได้ยินคำตอบ เขาไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนการนอนหลับของอีกคน เพราเขาก็แค่อยากมาเยี่ยมก็เท่านั้นเอง

 

อดีตเจ้าชายอาณาจักรคาราบีนาจ้องอีกคนแล้วแค้นยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อยโดยที่อีกคนไม่เห็น เอ่ยเสียงเข้มออกมา

 

“มานั่งนี่” ไคริว่าพลางตบที่ว่างบนเตียงข้างตัว

 

ชายหนุ่มที่ดูอายุมากกว่าไคริหลายปีเดินก้มหน้าช้าๆ เข้ามาด้วยความกังวล เมื่อทิ้งตัวลงบนเตียงได้ก็ยังเอาแต่ก้มหน้างุดมองผ้าปูสีขาวสะอาดไม่ยอมเงยหน้ามองคนที่ตัวเองอุตส่าห์มาหาแต่เช้า ไคริที่เห็นท่าทางเช่นนั้นก็อดจะหงุดหงิดปนสงสารไม่ได้ ถ้ารู้ว่าจะทำให้คนอื่นต้องตื่นจะมาเช้าทำไมขนาดนี้ แต่เรื่องของเรื่องคือไคริตื่นอยู่ก่อนแล้ว ก็แค่อยากแกล้งอีกคนเล่นเฉยๆ

 

“ฉันแกล้งนายเถอะ ฉันตื่นมาซักพักแล้ว”

 

“เอ๊ะ?”

 

“หึหึ”

 

เสียงหัวเราะในลำคอแบบคนเหนือกว่าของไคริทำให้ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามมู่หน้าขัดใจ ท่าทางที่ราวกับเด็กน้อยขัดกับอายุนั้น ไคริมองยังไงมันก็น่าหมั่นเขี้ยวเป็นที่สุด มือกร้านเอื้อมไปดึงแก้มขาวแรงๆ จนอีกคนร้องโอยออกมา

 

“นี่คุณแกล้งผมเหรอ!?”

 

“อื้ม” ไคริตอบอย่างไม่ใส่ใจ ยกยิ้มมุมปากมองอีกคนอย่างอารมณ์ดี

 

ชายเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มยังคงชักสีหน้าอยู่เช่นเดิม แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เพียงนั้นนิ่งๆ แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง ปล่อยให้ไครินั่งมองใบหน้าด้านข้างอยู่อย่างนั้น

 

อย่างกับความฝัน ราวกับไม่ใช่ความจริง

 

คนผมน้ำตาลประกายทองเพ่งมองเสี้ยวหน้าติดหวานของคนตรงหน้า ผิวกายขาวๆ และดวงตาสีครามกลมที่เหมือนไม่มีผิดเพี้ยนกับสิ่งมีชีวิตที่เขาเคยรู้จักดี

 

“เจ้าก้อนปุยขาว…”

 

“หืม?”

 

เป็นทางฝ่ายไคริที่สะอึกบ้าง ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงเบิกขึ้นเพราะความตกตะลึง เขาพลั้งปากเอ่ยเรียกชื่อที่ไม่ควรเอ่ยออกมาจนต้องยกมือขึ้นปิดริมฝีปากเอาไว้ และมันแย่ต่อหัวใจของเขานิดหน่อยตรงที่สิ่งที่ตอบรับชื่อนั้น ไม่ใช่เจ้าก้อนปุยขาวที่ขนดก หูยาว ตากลมโตบ๊องแบ๊ว ตัวเล็กเท่าแค่หน้าขาของเขาดังแต่ก่อน…

 

…หากแต่เป็นชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเขาหลายปี หน้าตายอมรับเลยว่าค่อนไปทางน่ารัก ดูอ่อนโยน ผิวขาวจัดเหมือนกับขนสีขาวนุ่มนิ่มที่ตัดกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม และดวงตาสีครามที่แม้จะดูโตแต่ก็ไม่ได้โตเท่าเจ้าก้อนปุยขาวตัวเก่า

 

“เอ่อ ขอโทษ นา..วิ”

 

รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของกษัตริย์คนใหม่ของราชวงศ์ความฝัน ศีรษะได้รูปส่ายเบาๆ เอียงมองคนที่หันสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง อารมณ์ขุ่นๆ เมื่อครู่ถูกปัดหายไปทันทีเมื่อเห็นท่าทางของไคริ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกคนคิดและกังวลอะไร ถ้าเป็นปกติก็อาจจะแซวๆ ไปบ้างแต่ยังไมใช่ตอนนี้

 

“นี่…ท่านไค–”

 

“ไคริ เรียก ไคริเฉยๆ ก็พอ”

 

ริ้วสีแดงจางซับขึ้นบนใบหน้าขาวผ่องของชายหนุ่ม รอบนี้เป็นฝ่ายเขาเองที่ก้มหน้าหลบสายตาจริงจังที่มองมานั้นบ้าง ก่อนที่ท่อนแขนทั้งสองจะสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ที่มาเกาะกุมไว้ กว่าจะตั้งตัวทัน ร่างของเขาถูกดึงให้เข้าไปใกล้อดีตเจ้าชายที่อยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

 

 

มันดูง่ายดาย และเรียบง่ายจนไม่อยากจะเชื่อว่าคือความจริง

 

แต่ทุกอุณหภูมิ และความรู้สึกที่แล่นอยู่ในจิตใจจนรู้สึกจุกไปทั่วอกนั้นคือสิ่งที่ยืนยันว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือความจริง

 

เจ้าก้อนปุยขาว…หลุดออกจากคำสาป กลายเป็นเจ้าชายคนหนึ่ง ก่อนจะถูกเลื่อนขึ้นเป็นกษัตริย์

 

และจากคนที่ไม่มีที่ไป คนที่ไม่เหลืออะไรสักอย่าง แม้แต่ครอบครัวที่สำคัญ เพื่อนสักคนก็ไม่มี มีเพียงกระบอกปืนและงานรับจ้างเพื่อใช้เลี้ยงชีพ ตอนนี้กลับกลายคนสำคัญของคนๆ หนึ่ง และมีเพื่อน ทั้งที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้สัมผัสกับมิตรภาพแบบนั้น

 

แต่สิ่งที่เหนือกว่ามิตรภาพของเพื่อนที่ได้รับและให้ไป คือ ความรัก

 

 

ไคริฝังใบหน้าของตนเข้ากับลาดไหล่มน วงแขนแกร่งกอดร่างในอ้อมกอดไว้แน่นด้วยความรู้สึกล้นอก หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ไม่สนแล้วว่าอีกคนจะรับรู้ไหม ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองเป็นคนบ้าคนหนึ่ง ที่ดันชอบเจ้าตัวขนนุ่มนิ่ม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธหัวใจตัวเองได้ แต่จนวินาทีที่ได้เห็นร่างที่แท้จริงของอีกคน เขาก็มีความหวังขึ้นมา แต่สุดท้ายความหวังก็แทบพังลงอีกครั้งเมื่อได้รู้สถานะของอีกคน

 

คาราบีนาดินแดนที่ล่มสลาย เหมือนเป็นสถานที่เดียวที่ไครินึกออกในยามนั้น ในตอนนั้นไคริรู้สึกอ่อนแอจนไม่อยากจะอยู่ใกล้ใครเพื่อไม่ให้ใครได้มาเห็นสภาพที่น่าสมเพชของเขา อยากจะหนีไปใช้ชีวิตคนเดียวดังแต่ก่อน ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แต่แล้วกลับมีมือเล็กที่มาฉุดรั้งเขาเอาไว้พร้อมกับความรู้สึกที่เจ้าของมือนั้นพรั่งพรูออกมา

 

รวมถึงความปรารถนาของอีกคน ที่แม้แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธใจของตนเองได้ว่าต้องการ

 

นับตั้งแต่วินาทีนั้น แหวนประจำราชวงศ์คาราบีนาได้ถูกย้ายไปอยู่ที่นิ้วของกษัตริย์ทรอยแมร์แทน

 

ของมีค่าเพียงสิ่งเดียว ที่ไคริสามารถมอบมันให้กับอีกคนได้

 

“นาวิ..”

 

“ครับ?”

 

ไคริผละร่างของตนออกเล็กน้อย ส่งหน้าผากไปชนกับหน้าผากอีกฝ่าย ดวงตาสองคู่ที่อยู่ในระยะเดียวกันพอดีสอดประสานกันโดยไม่มีใครคิดหลบเลี่ยง

 

“นายไม่ใช่เจ้าก้อนปุยขาวคนเดิม” คนฟังมองด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตาเบิกออกด้วยความงุนงง

 

“แต่ว่า…” นิ้วเรียวที่มักจะไว้ลั่นไกปืน เลื่อนต่ำสัมผัสเข้าที่บริเวณอกซ้ายของคนตรงหน้า “ฉันสัมผัสได้อยู่ดี ถึงหัวใจดวงนี้”

 

คนฟังแก้มซับสีขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหลุบต่ำลง

 

“แก้มนี้” นิ้วเรียวย้ายขึ้นมาสัมผัสที่พวงแก้มแดงเรื่อ เกลี่ยเบาๆ ยิ่งเรียกสีแดงให้มากขึ้นไปอีก

 

“ริมฝีปากนี้” นิ้วโป้งเลื่อนมาสัมผัสที่ริมฝีปากล่างของกษัตริย์ ออกแรงกดเบาๆ จนริมฝีปากเผยอออก

 

“แล้วก็…เสียงนี้”

 

ริมฝีปากร้อนสองคู่ประกบเข้าหากันอย่างเนิบช้า ดวงตากลมโตสีครามปิดลงรอรับสัมผัสจากชายตรงหน้าด้วยความเต็มใจ ก่อนที่โพรงปากของตนจะถูกรุกล้ำด้วยลิ้นร้อนของอีกฝ่ายที่เข้ามาสำรวจกวาดชิมความหวานไม่รู้เบื่อ จากจูบที่เชื่องช้า อ่อนโยนยิ่งเร่าร้อนและสูบพลังมากขึ้น ฝ่ามือขาวเนียนกำชุดนอนของไคริแน่นขึ้นเพื่อระบายอารมณ์ เสียงครางอื้อในลำคอดังออกมารอบแล้วรอบเล่าไม่มีความเอียงอาย

 

ไคริจูบหนักๆ ที่มุมปากอิ่มรอบหนึ่งก่อนจะละริมฝีปากออกมา จูบซับเบาๆ ตามริมฝีปาก ยกมือขึ้นประคองใบหน้ามนไว้เอ่ยกระซิบประโยคขอร้องอันหนักแน่นออกมา

 

“นาวิ ต่อจากนี้นายช่วยเป็นแสงสว่างให้กับฉัน มอบโอกาสให้ฉันได้เป็นเงา อยู่เคียงข้างนายจะได้รึไม่?”

 

กษัตริย์หนุ่มยกยิ้มทั้งที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่ ต่อให้อีกคนไม่ขอเขาก็พร้อมจะยกทั้งชีวิตให้อยู่แล้ว ต่อให้อีกคนจะปฏิเสธที่จะไม่รับ แต่ชีวิตนี้นาวิไม่คิดจะยกให้ใครอีก ถ้าไม่ใช่เจ้าของหัวใจของตนคนนี้ ก่อนจะยกมือขึ้นประคองที่แก้มของอีกฝ่ายเช่นกัน

 

“ไคริ ต่อจากนี้คุณช่วยเป็นเงาให้กับผม โปรดอยู่เคียงข้างและอยู่ด้วยกันตลอดไปนับจากนี้”

 

 

ท่ามกลางดินแดนความฝันนี้ ไม่รู้ว่าตนกำลังฝันอยู่หรือไม่ ถ้าหากมันคือความฝัน ก็คงจะเป็นความฝันที่สมจริงมากทีเดียว และคงเป็นฝันที่ไม่อยากจะลืมตาตื่น แต่สัมผัสอันอบอุ่น จังหวะการเต้นของหัวใจที่รู้สึกเจ็บไปทั้งอก และความรู้สึกกลัวที่จะต้องสูญเสียคนสำคัญไป อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดแต่ในโลกของความเป็นจริงเท่านั้นก็ได้

 

เป็นความจริงที่จะไม่หนีจากมัน…

 

 

 

เงาจะชัดเจน เมื่อแสงสว่างนั้นประกายเจิดจ้า

 

หากไม่มีแสงสว่างฉันใด เงาก็คงไม่เกิดฉันนั้นเช่นกัน

 

_____________________________________________________

 

เตรงงงงเตรงงงง มาเกือบจะหมดอาทิตย์เลยทีเดียว อย่างที่แปะเตือนไว้ด้านบนนะคะ ว่าอาจมีสปอยและเป็นการมโนของเราบางส่วนด้วย บางส่วนอาจจริงและหลายส่วนมโน 5555555 ส่วนสตอรี่นี้จะมีใครงงไหมนะ…คือทุกอย่างที่เกิดเป็นเรื่องจริงนะคะ พวกเขาแฮปปี้มีความสุขดี สงสัยตรงไหนสามารถเมนต์ทิ้งไว้ที่นี่ได้แล้วจะมาตอบนะคะ หรือว่าเมนชั่นถามทางทวิตได้เลย

และจากการวิเคราะห์ของเราเอง เราคิดว่าจญ.ที่อายุราวๆ 17-18 ไม่น่าจะอายุห่างกับพี่ชายมากน่ะค่ะ อย่างมากเราให้ถึง 10-12 ปี คือยังไม่น่าจะเกิน 30 ส่วนทางไคริเองก็อายุ 18 ห่างกันเกือบๆ 10 ปีคงไม่เป็นไรมั้งคะ เนอะๆๆ 55555555

ขอบคุณสำหรับหัวข้ออ และขอบคุณสำหรับคนที่เข้ามาอ่านนนะคะะะ ฝากติชมด้วยค่าาาาา